เป็นประจำแทบทุกสัปดาห์ ผมจะแนะนำหนังสือที่อ่านแล้วชอบไว้ในแฟนเพจ boy's thought อย่างไรก็ตาม ด้วยระบบของ facebook ทำให้การสืบค้นโพสต์เก่า ๆ ทำได้ยาก ผมจึงนำมารวบรวมไว้ในเว็บไซต์ เผื่อว่าใครจะลองไปหามาอ่านบ้าง โดยครั้งนี้จะเป็นหนังสือที่ผมอ่านในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน 2021 ครับ มาเริ่มกันเลย (ส่วนหนังสือที่อ่านแล้วชอบ Q1 2021 อ่านย้อนหลัง กด ที่นี่ หนังสือที่อ่านแล้วชอบ Q2 2021 อ่านย้อนหลัง กด ที่นี่ ครับ)

1.Tiny Habits (เปลี่ยนน้อยนิด เพื่อพิชิตทุกเป้าหมาย)
"หนังสือเล่มหนา ๆ" ว่าด้วยการสร้าง "นิสัยเล็ก ๆ" เขียนโดย BJ Fogg เนื้อหาในเล่มก็ตามชื่อเลยครับ ว่าด้วยวิธีการสร้างนิสัยใหม่ ๆ (หรือกำจัดนิสัยเก่า ๆ ที่เราไม่ต้องการ) โดยเริ่มจากนิสัยเล็ก ๆ ทำง่าย ๆ ทำได้ประจำ แล้วความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ นี้จะค่อย ๆ นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ขึ้น

สิ่งที่ผมชอบที่สุดเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ก็คือ คนเขียนมีวิธีคิดวิธีเขียนที่เป็นระบบระเบียบมาก เขาอธิบายพฤติกรรมของมนุษย์ด้วยกราฟ ตาราง โฟลว์ชาร์ต รูปภาพ มีสรุปท้ายทุกบท มีภาคผนวกที่สาระแน่นมาก พูดง่าย ๆ ว่าเขาทำสิ่งที่ดูเหมือนเป็นเรื่องนามธรรมอย่างกำลังใจ แรงบันดาลใจ ให้ออกมาในรูปของทฤษฎีที่จับต้องได้ เป็นรูปธรรม เข้าใจง่าย ทำตามได้จริง
สมแล้วที่ผู้เขียนเป็น Behavior Scientist อยู่ที่ Standford และทำวิจัยเรื่องพฤติกรรมมนุษย์มากว่า 20 ปี อ่านเล่มนี้แล้วจึงไม่ต่างกับการลงคอร์สว่าด้วยการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ครับ จริงจังมาก
หัวใจของเล่มนี้ ผู้เขียนเขาบอกว่า พฤติกรรมของคนเราเกิดขึ้นจากองค์ประกอบ 3 อย่างมาบรรจบกัน ได้แก่ แรงจูงใจ ความสามารถ และสัญญาณ หรือพูดอีกแบบก็คือ เราทำพฤติกรรมนั้น ๆ เพราะมีความต้องการบางอย่าง เรามีความสามารถทำมันได้จริง และเราก็ถูกกระตุ้นให้ทำสิ่งนั้น ๆ ถ้าขาดสิ่งใดสิ่งนึงไป พฤติกรรมก็อาจไม่เกิดขึ้น เช่น อยาก แต่ไม่มีความสามารถ / มีความสามารถ แต่ไม่อยาก / อยากนะ มีความสามารถอยู่นะ แต่ไม่มีอะไรมากระตุ้นให้ลงมือทำ
เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากสร้างนิสัยหรือพฤติกรรมใหม่ ๆ ก็จะต้องรู้จักจัดการกับ 3 องค์ประกอบนี้ โดยวิธีที่เขานำเสนอไว้ในเล่มก็คือ ให้เริ่มจากนิสัยเล็ก ๆ พฤติกรรมง่าย ๆ และแทรกเข้าไปหลังกิจวัตรประจำวันของเรา สมมติว่าถ้าอยากออกกำลังกาย ก็อย่าเพิ่งเล่นใหญ่จัดเต็ม ให้เริ่มจากเล็ก ๆ ก่อน เช่น หลังจากฉี่เสร็จ ออกมาจากห้องน้ำ ฉันจะวิดพื้น 2 ที จากนั้นให้ฉลองชัยชนะเล็ก ๆ นี้เพื่อให้นิสัยใหม่ติดทนนานในสมอง เช่น ตบมือหนึ่งที ร้องเยส หรืออะไรก็ได้ ...นิสัยวิดพื้น 2 ทีนี้เองที่จะค่อย ๆ นำไปสู่การออกกำลังที่จริงจังขึ้น และนำไปสู่นิสัยดี ๆ ด้านอื่น ๆ ได้ด้วย
หนังสือมีรายละเอียดมากกว่าที่ผมเขียนไว้อีกเยอะครับ เขาเล่าเคสต่าง ๆ ของคนที่เคยมาเรียนกับเขา รวมถึงภาคผนวกก็มีเทคนิคเด็ด ๆ อีกเยอะ เช่น 100 วิธีฉลองให้กับชัยชนะเล็ก ๆ ของเรา สูตรสร้างนิสัยเล็ก ๆ สำหรับการนอน การทำงาน การลดความเครียด การสร้างสัมพันธ์ที่ดี
Tiny Habits เปลี่ยนน้อยนิด เพื่อพิชิตทุกเป้าหมาย สำนักพิมพ์อมรินทร์ ราคาปก 395 บาท
2. ชายชื่ออูเว (A Man Called Ove)
นิยายอ่านสนุกจากสวีเดน เล่มนี้ผมโดนป้ายยาจากการฟัง readery podcast ก็เลยซื้อมาอ่านตาม ผลก็คือสนุกกว่าที่คิด อ่านเพลินจนกินเวลาดูซีรีส์ เพราะมัวแต่นั่ง ๆ นอน ๆ อ่านเล่มนี้ที่ผมขอนิยามว่าเป็นหนังสือที่ "ตลกร้าย แต่ feel good มาก"

เล่าแบบไม่สปอยล์มากนัก นี่คือเรื่องราวของชายวัย 59 ปี ชื่อ "อูเว" เขาคือพนักงานบริษัทรับสร้างบ้าน อูเวเป็นคนประเภทที่ภรรยานิยามว่าเขาคือ "ผู้ชายที่ไม่รู้จักยืดหยุ่นที่สุดในโลก" เขาเชื่อว่าทุกสิ่งต้องมีระเบียบ ชีวิตต้องดำเนินไปตามกิจวัตร ทุกคนมีหน้าที่และต้องทำตามหน้าที่ เขาเชื่อในความยุติธรรม ความซื่อตรง การทำงานหนัก อะไรถูกก็ต้องว่าไปตามถูก
ทั้งหมดนี้ฟังดูดี แต่ปัญหาก็คือมันทำให้อูเวเป็นคนแก่ขี้หงุดหงิด ช่างจับผิด เห็นอะไรไม่ได้เรื่องไปหมด รำคาญคนไม่ทำตามกฏ รวมไปถึงกระทั่งตัดสินผู้คนจากรถยนต์ที่เขาขับ (ซึ่งอันนี้ฮามาก ใครชอบรถยนต์ อ่านแล้วจะขำในความประชดประชัน)
วันหนึ่งจุดเปลี่ยนของชีวิตก็เดินทางมาถึง ชีวิตอูเวเหมือนจะไม่เหลืออะไรให้ยึดเหนี่ยวอีกต่อไป ภรรยาที่รักยิ่งก็จากไปหลายเดือนแล้ว งานการที่ทำมาสามสิบปี บริษัทก็ขอให้ลาออก เพราะเขาแก่เกินไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นจะมีเหตุผลอะไรในการมีชีวิตอยู่อีกเล่า นั่นจึงเป็นที่มาของการวางแผนจบชีวิตตัวเองของชายชื่ออูเว...ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องไม่ง่าย ต้องผิดแผน ต้องเกิดเรื่องราวระหว่างนั้นให้เราอ่านกันอย่างเพลิดเพลิน
ส่วนตัวผมชอบวิธีเล่าของนิยายเรื่องนี้ เขาเล่าตัดสลับไปมาระหว่างเหตุการณ์ปัจจุบันที่อูเวกำลังคิดสั้น (แต่เกิดเรื่องราววุ่นวายเสียก่อน) กับเหตุการณ์ในอดีต (ที่เล่าย้อนตั้งแต่วัยเด็ก วัยหนุ่ม พบรัก) จนสุดท้ายเหตุการณ์มาบรรจบพบกัน
ต้องนับถือในความเล่าเรื่องเก่งของคนเขียนครับ รายละเอียดที่เล่าถึงชีวิตของอูเวนั้นมีชั้นเชิง ค่อย ๆ เผยว่าชีวิตอูเวเจออะไรมาบ้างจึงกลายมาเป็นคนขี้หงุดหงิดในวันนี้ (ซึ่งสารภาพว่าผมชอบตอนที่หนังสือเล่าเรื่องราวในอดีต มากกว่าเหตุการณ์ปัจจุบัน) และนอกจากพล็อตเรื่องที่สนุกแล้ว ในเล่มยังมีประโยคคม ๆ ชวนฉุกคิดอีกเพียบ
รวมความแล้ว การอ่านนิยายเล่มนี้น่าจะทำให้เรานึกถึงใครบางคนที่เคยพบเจอในชีวิต คนที่ "ปากร้าย แต่ใจดี" คนที่เราไม่เคยเข้าใจเสียทีว่าทำไมเขาจึงเป็นคนแบบนั้นนะ หนังสือเล่มนี้จะทำให้เราเผื่อใจในอีกมุมว่า "เราทุกคนต้องผ่านช่วงเวลาแบบนั้นกันมาบ้าง เมื่อเราต้องตัดสินใจเลือกว่าอยากเป็นคนแบบไหน และถ้าคุณไม่เคยรู้เรื่องราวในช่วงเวลานั้นของคนคนนั้นมาก่อน คุณจะไม่มีทางรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาได้เลย"
ชายชื่ออูเว เขียนโดย Fredrik Backman สำนักพิมพ์แมร์รี่โกราวด์ ราคาปก 320 บาท
3.The Midnight Library (มหัศจรรย์ห้องสมุดเที่ยงคืน)
หนังสือแนะนำสำหรับคนอยากผ่อนคลายสมอง เนื้อหาเบา ๆ คาดเดาง่าย อ่านจบอิ่มใจ มีแรงใช้ชีวิตกันต่อไป เล่าแบบไม่สปอยล์ ขอคัดลอกตามโปรยปกหลังดังนี้ครับ

นอรา ซีด หญิงสาววัย 35 ปี ตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง หลังเผชิญกับโรคซึมเศร้าและความผิดหวังซ้ำๆ มานานหลายปี ทว่าในตอนเที่ยงคืนหลังจากที่กินยาฆ่าตัวตายไปแล้ว เธอกลับฟื้นขึ้นมาในสถานที่แห่งหนึ่ง ที่นั่นคือห้องสมุดเที่ยงคืน แล้วเธอก็ได้พบกับมิสซิสเอล์ม บรรณารักษ์ห้องสมุดที่เธอสนิทสมัยเรียนมัธยม
มิสซิสเอล์มให้นอราดูหนังสือแห่งความเศร้าเสียใจ ซึ่งบันทึกทุกเรื่องราวที่เธอเคยเสียใจไว้ แล้วเสนอให้นอราได้ลองใช้ชีวิตอีกครั้ง ชีวิตที่เป็นไปได้อันไม่จำกัดที่นอราเคยเสียใจที่ไม่ได้เลือก เพื่อที่เธอจะได้กลับไปแก้ไขมันอีกครั้ง โดยทบทวนชีวิตที่ผ่านมาและดูว่าชีวิตแบบไหนกันแน่ที่เป็นชีวิตที่ดีแท้สำหรับนอรา แต่มีเงื่อนไขว่าหากเส้นทางที่เลือกกลับไปนั้นทำให้เธอผิดหวังอย่างที่สุด นอราจะต้องกลับมาที่ห้องสมุดเที่ยงคืนแห่งนี้ทุกครั้งไป นอราจะค้นพบชีวิตที่ไม่ต้องเสียใจอีกต่อไปไหม แต่ชีวิตที่ดีและไม่ทำให้เสียใจเช่นนั้นมีอยู่จริงหรือ?
โครงเรื่องน่าสนใจดีครับ ผมซื้อมาอ่านเพราะเห็นว่าได้รับรางวัล Best Fiction ของ Goodread Choice Awards 2020 แต่เอาจริงพออ่านจบก็ยอมรับว่าผิดคาดไปหน่อย เพราะแม้ว่าตัวละครจะอยู่ในวัย 35 ปี แต่โทนของหนังสือก็ออกไปในทางนิยายวัยรุ่นตอนต้น ทุกอย่างดูง่ายดาย คลี่คลายได้ไม่ยาก และถ้าเราจะคาดเดาตอนจบ ก็ต้องบอกว่าเราจะเดาถูกอย่างแน่นอน (ส่วนตัวผมชอบนิยายที่พล็อตไปในทางเดียวกันอย่าง "ศูนย์รับฝากความเสียใจ" ของไต้หวันมากกว่า)
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้แปลว่าหนังสือไม่ดี เล่มนี้อ่านสนุก เพลิน ผมอ่านจบในวันเดียว (อ่านง่ายเพราะมีบทสนทนา ไม่เน้นบรรยายฉาก) อ่านแล้วได้ทบทวนชีวิตที่ผ่านมา ชีวิตที่อยู่ตรงนี้ และชีวิตที่กำลังจะเดินต่อไป ที่สำคัญ สนพ.Biblio ทำหนังสือสวยมาก ปกสีสวย กระดาษเนื้อในดี จับอ่านแล้วมีความสุขครับ
The Midnight Library มหัศจรรย์ห้องสมุดเที่ยงคืน สำนักพิมพ์ Biblio ราคาปก 379 บาท
4.Never Let Me Go (แผลลึกหัวใจสลาย)
หนังสือนิยายที่ขอใช้คำว่า "โคตรดี" ผมซื้อมาดองตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เพิ่งได้หยิบมาอ่าน ที่ซื้อเพราะเคยอ่านบทสัมภาษณ์คุณวีรพร นิติประภา นักเขียนสองซีไรต์ เธอบอกว่าเป็นเล่มที่ชอบมาก เล่มนี้เขียนโดยนักเขียนรางวัลโนเบลปี 2017 แต่นิยายเล่มนี้พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2005 นิตยสารไทม์ยกให้เป็นหนึ่งในนิยายยอดเยี่ยมในรอบ (ประมาณ) 100 ปี

ดูจากหน้าปกและชื่อเรื่อง ทำให้ผมคาดเดาไปเองว่าน่าจะเป็นนิยายรักหักอกปวดร้าวเศร้าสร้อยอะไรทำนองนั้น แต่พออ่านจบพบว่ามันไปไกลกว่านั้นมาก มากจนคาดไม่ถึง
เล่าเท่าที่เล่าได้แบบไม่สปอยล์ นิยายเรื่องนี้เล่าผ่านมุมมองของหญิงสาววัย 31 ปีชื่อ แคธี เธอเล่าเรื่องของเธอย้อนไปในอดีตเมื่อครั้งยังอยู่โรงเรียนประจำที่ชื่อเฮลแซม เธอเล่าถึงเพื่อนรักอีก 2 คนนึง ชายและหญิง ซึ่งพอเล่าเท่านี้ หนึ่งชายสองหญิง เราก็อาจคาดเดาได้ว่าคงเป็นเรื่องรักสามเส้า ซึ่งจะว่าใช่ก็ได้ แต่ภาพกว้างของเรื่องนั้นใหญ่กว่านั้นมาก ตั้งแต่ต้นเรื่องเราจะงง ๆ กับสิ่งที่แคธีเล่า เธอพูดอะไรของเธอนะ อะไรคือผู้ดูแล อะไรคือผู้บริจาค ทำไมโรงเรียนเฮลแซมจึงดูแปลกกว่าที่อื่น ๆ แต่พออ่านไปเรื่อย ๆ เราจะค่อย ๆ เข้าใจ ยิ่งถ้าได้กลับมาอ่านใหม่อีกรอบหลังอ่านจบ ก็จะยิ่งสนุกครับ
เสียดายที่เล่าได้เท่านี้ เอาเป็นว่าใครชอบนิยายที่มีความลับที่เรารู้พร้อม ๆ กับตัวละคร ตัวเอกเป็นวัยรุ่นไล่มาจนโต มีเรื่องการเปลี่ยนผ่าน การได้เรียนรู้แบบที่เรียกว่า coming of age ชอบนิยายประเภทน้อยเหตุการณ์ แต่มากความรู้สึก เล่มนี้คุณน่าจะชอบมาก ๆ หรือถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วยังเฉย ๆ ลองอ่านที่พี่จ้อย นรา นักวิจารณ์มืออาชีพเขียนถึงหนังสือเล่มนี้ไว้ ที่นี่ เผื่อจะโน้มน้าวใจให้คุณสนใจหนังสือเล่มนี้ได้อีกแรง
ถือเป็นหนังสือที่ผมชอบมากในปีนี้ ดีใจมากที่ได้อ่าน มันจะเป็นหนึ่งในหนังสือที่ประทับอยู่ในทรงจำและความรู้สึกของผมไปอีกนาน
แผลลึกหัวใจสลาย (Never Let Me Go) เขียนโดย Kazuo Ishiguro สำนักพิมพ์ เอิร์นเนส พับลิชชิ่ง ราคาปก 280 บาท
5.ทำงานกับคนต้องใช้อารมณ์ให้เป็น (No Hard Feelings)
เล่มนี้จุดเด่นคือภาพประกอบแบบที่เห็นบนปกนี่แหละครับ มีแทรกตลอดเล่ม เป็นการ์ตูนมุกตลกที่ช่วยผ่อนคลายเนื้อหาสาระได้ดี

"ทำงานกับคนต้องใช้อารมณ์ให้เป็น" หรือชื่ออังกฤษ No Hard Feelings (แปลว่า อย่าโกรธกันนะ อย่าถือสากันนะ) เนื้อหาเริ่มต้นด้วยการบอกว่า ใคร ๆ ก็มักบอกว่ามืออาชีพนั้นต้องทำงานอย่างไม่มีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ความจริงก็คือ ในที่ทำงานนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ เราจึงต้องใช้อารมณ์อย่างสมเหตุสมผล สื่อสารอารมณ์ให้ถูกที่ถูกเวลา
ผู้เขียน (เขียนโดย 2 สาวชาวอเมริกัน) ก็เลยเสนอเป็น "กฏ 7 ข้อที่เกี่ยวข้องกับการใช้อารมณ์ในที่ทำงาน" ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่เรื่องของการหาเส้นแบ่งที่ชัดเจนระหว่างการทำงานและการพักผ่อน การหาแรงบันดาลใจให้กับการทำงาน การเข้าใจอารมณ์ตอนต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญ การทำงานเป็นทีม การสื่อสารกันในทีม วัฒนธรรมองค์กร ไปจนถึงภาวะผู้นำ
เอาจริง ๆ เนื้อหาทั้งหมดนี้ก็ต้องบอกว่าไม่มีอะไรใหม่ หลายเรื่องเราพบเห็นในได้หนังสือแนว ๆ นี้ เพียงแต่ผู้เขียนรวบรวมเรียบเรียงและบอกเล่ามันออกมาในภาษาสบาย ๆ เท่านั้นเอง และรวมถึงอย่างที่บอก การ์ตูนประกอบเนื้อหานั้นตลกมาก จี้ใจดำมาก จนเชื่อว่าเราจะอยากถ่ายรูปแล้วส่งให้เพื่อนที่ทำงานดู
สรุป เล่มนี้อ่านง่าย สบาย ๆ ออกแบบสวย (สาว ๆ น่าจะชอบมากกว่าหนุ่ม ๆ) ได้สาระเหมือนมีคนอ่านหนังสือหลาย ๆ เล่มแล้วสรุปให้เราอีกที เหมาะกับการอ่านในช่วง WFH เพื่อเก็บเป็นไอเดียไว้ใช้ในวันที่เรากลับไปทำงานร่วมกันที่ออฟฟิศอีกครั้ง
ทำงานกับคนต้องใช้อารมณ์ให้เป็น (No Hard Feelings) สำนักพิมพ์อมรินทร์ ราคาปก 295 บาท
6.Range (วิชารู้รอบ)
ปกสวยมาก เขียนเก่ง ข้อมูลเพียบ แปลดี คนที่ทำงานมาหลายอาชีพ คนที่ทำงานไม่ตรงกับที่เรียนมา น่าจะชอบเล่มนี้ อ่านแล้วผงกหัวเห็นด้วย หรือกระทั่งคนที่ทำอาชีพเดียว ทำงานตรงกับที่จบมา ก็น่าจะชอบเล่มนี้ อ่านแล้วเห็นความท้าทายใหม่ ๆ ว่าวันหนึ่งเราอาจเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นก็ได้...ใครจะรู้

Range หรือชื่อไทย วิชารู้รอบ เขียนโดย David Epstein ผู้เขียนหนังสือชื่อ The Sports Gene (ชื่อไทย ยอดมนุษย์นักกีฬา สนพ.SALT เช่นกัน) ส่วนตัวผมคิดว่าเล่ม Range นี้อ่านสนุกกว่า แต่ก็ยอดเยี่ยมทั้งสองเล่ม แนะนำครับ
เนื้อหาในเล่มว่าด้วยประเด็นที่ผู้เขียนพิสูจน์ให้เราเห็นว่า บางทีความเชื่อที่เชื่อกันว่าหากอยากประสบความสำเร็จ เราต้องฝึกฝนเรื่องนั้น ๆ เรื่องเดียวตั้งแต่เด็ก เริ่มต้นให้เร็ว ฝึกอย่างเข้มข้นไม่สนใจเรื่องอื่น (ประมาณว่า อันความรู้รู้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล) ความเชื่อแบบนี้อาจใช้ได้กับบางอาชีพ บางสถานการณ์ แต่อาจไม่เหมาะกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ข้อมูลความรู้ล้นโลก และต้องการคนมาเชื่อมโยงความรู้เหล่านั้น เพราะโลกยุคใหม่ต้องการคนที่รู้กว้าง ยืดหยุ่น ปรับตัวได้...ซึ่งทั้งหมดนี้ เราฝึกได้
โดยสรุปผมคิดว่าสิ่งที่ David Epstein ต้องการบอกเรา ซ่อนอยู่ในบางประโยคที่ผมอ่านแล้วชอบ ขอยกมาจากในเล่มดังนี้ (ตัดต่อเพื่อความกระชับ)
โลกในปัจจุบันนั้นไม่อ่อนโยน มันต้องการการคิดแบบที่ไม่ขึ้นกับประสบการณ์ดั้งเดิม ...ในโลกที่โหดร้าย การพึ่งพาประสบการณ์จากแวดวงเดียวไม่เพียงจำกัดจำเขี่ยเท่านั้น แต่มันยังอาจสร้างหายนะขึ้นได้
การเรียนความรู้อะไรสักอย่างนั้นสำคัญน้อยกว่าเรียนรู้ตัวเอง การสำรวจรอบด้านไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือยในการศึกษา มันถือเป็นประโยชน์หลักต่างหาก ...เด็กถูกคาดหวังให้เลือกสายทั้งที่รู้จักสาขาต่าง ๆ เท่าที่ถูกสอนมาในช่วงมัธยมปลายเท่านั้น นั่นคล้ายกับการบังคับให้เลือกตอนอายุ 16 ว่าคุณจะแต่งงานกับแฟนสมัยมัธยมปลายหรือไม่
เราจะรู้จักตัวเองได้ผ่านการใช้ชีวิตเพียงอย่างเดียว ไม่มีทางรู้ก่อนหน้านั้น ...ลองทำกิจกรรมใหม่ๆ ลองคบคนกลุ่มใหม่ บริบทใหม่ งานใหม่ อาชีพใหม่ แล้วค่อยกลับมาคิดทบทวนและปรับแต่งเรื่องราวส่วนตัว จากนั้นก็ทำกระบวนการเดิมซ้ำอีก ...ทำก่อนแล้วค่อยคิด เราค้นพบความเป็นไปได้ด้วยการลงมือทำ เราเรียนรู้ว่าเราเป็นใครได้ด้วยการปฏิบัติ ไม่ใช่ทฤษฎี
ในโลกที่เปลี่ยนแปลงฉับไวเช่นนี้ การมีแผนตายตัวอาจไม่ใช่เรื่องฉลาดนัก แทนที่จะตั้งเป้าไว้แล้วเดินไปให้ถึง ลองเดินหน้าจากจุดที่ดูเป็นไปได้มากกว่า นั่นคือสิ่งที่ผู้ประสบความสำเร็จจำนวนมากปฏิบัติ ...ไม่ควรปักหลักกับความฝันใดในอนาคต แต่ให้ลองดูว่าปัจจุบันมีทางเลือกอะไรบ้าง แล้วเลือกทางที่จะให้ทางเลือกที่กว้างขวางและดูเป็นไปได้ที่สุดในภายหลัง
แม้จะจัดอยู่ในหนังสือประเภทที่ผมเรียกเอาเองว่า "หนังสือที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่า ตัวอย่าง และงานวิจัยที่ถูกเลือกมาเพื่อสนับสนุนข้อสรุปบางอย่าง โดยใช้วิธีเขียนในแนวทางของ Malcolm Gladwell (เริ่มด้วยเรื่องเล่าปริศนา ก่อนจะเฉลยอย่างน่าทึ่ง หักมุม แล้วนำไปสู่การพิสูจน์สมมติฐาน)" ซึ่งผมยอมรับว่าช่วงหลัง ๆ รู้สึกเหนื่อยกับการอ่านหนังสือแนวนี้ มันเหมือนเรารู้ข้อสรุปของผู้เขียนอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องมานั่งอ่านตัวอย่างมากมายที่ยกมาโน้มน้าวให้เราคล้อยตาม
...อย่างไรก็ตาม เล่มนี้ถือเป็นข้อยกเว้น อ่านสนุกมาก เพราะตัวอย่างหลากหลายอาชีพจริง ๆ โชคดีที่ได้อ่านฉบับแปลไทย เพราะถ้าอ่านเล่มอังกฤษ ผมคงต้องรอบรู้คำศัพท์ในหลากหลายวงการจึงจะเข้าใจทั้งหมด
ผมผู้ซึ่งจบวิศวะโยธา แต่มาแต่งเพลง แล้วไปเป็นครีเอทีฟ ย้ายไปเป็นบรรณาธิการนิตยสาร จนได้เขียนหนังสือของตัวเอง แล้วนำไปสู่อาชีพวิทยากร และทุกวันนี้สนใจเรื่องหุ้นเป็นพิเศษ ขอแนะนำหนังสือเล่มนี้ครับ คาดว่าเล่มนี้น่าจะติดโผหนังสือยอดฮิตแห่งปี 2021 ของใครหลายคน
Range วิชารู้รอบ สำนักพิมพ์ SALT ราคาปก 415 บาท
7.คำสารภาพ (Confessions)
แนะนำสำหรับคนชอบอ่านนิยายสืบสวนสอบสวน สนุก ดาร์ก ลุ้นระทึก อันที่จริงผมเคยได้ยินชื่อเสียงหนังสือเล่มนี้มานานแล้วว่าดีมาก ดังมาก (ฉบับที่ผมมีคือพิมพ์ครั้งที่ 12 แสดงว่าขายดีจริง ๆ) เคยถูกสร้างเป็นหนัง ได้เข้าชิงออสการ์เมื่อ 10 ปีที่แล้ว จำได้ว่าได้ดูหนังเรื่องที่ว่านี้ด้วย (ชื่อ Confessions) แต่ผมดูไม่จบ เพราะรู้สึกหดหู่และหลอนในบรรยากาศที่หนังสร้างขึ้น

จนกระทั่งปีนี้ไม่รู้นึกยังไง ซื้อเล่มนี้มาดองไว้หลายเดือน และได้หยิบอ่านในที่สุด...เพื่อพบว่าสนุกจนวางไม่ลง คนเขียนเข้าใจเล่าเรื่องเหตุการณ์เดียวกันจากมุมมองของแต่ละตัวละคร เราคนอ่านจึงเหมือนได้สำรวจจิตใจพวกเขาไปในตัว
ส่วนพล็อตเรื่องนั้นขอไม่เล่าแล้วกัน จะได้ไปลุ้นเอง แต่ตัวละครนั้นประกอบด้วยครูกับนักเรียน ว่าด้วยเรื่องราวของการแก้แค้น ความกดดันและการถูกพิพากษาจากสังคม และคำสารภาพที่ทำให้นึกไม่ถึงว่าจิตใจคนเราจะมืดดำได้ถึงเพียงนี้
มีอยู่ย่อหน้านึงที่ผมชอบมาก ขอนำมาลงไว้ตรงนี้ (ไม่สปอยล์เนื้อเรื่องและตัดต่อเพื่อความกระชับ)
"คนเกือบทุกคนบนโลกนี้ต่างก็อยากได้รับคำชมจากคนอื่นกันทั้งนั้น แต่การทำความดีหรือทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่มันเป็นเรื่องยาก ก็เลยต้องคิดต่อไปว่าแล้ววิธีที่ง่ายที่สุดคืออะไร นั่นก็คือการตำหนิคนที่ทำไม่ดีไงคะ แต่การเป็นคนแรกที่เริ่มตำหนินั่นน่ะ จำเป็นต้องใช้ความกล้าหาญมากทีเดียว เพราะในที่สุดคนที่กล้าลุกขึ้นพูดอาจจะมีแค่ตัวเองคนเดียวก็ได้ เมื่อเทียบกันแล้วการว่ากล่าวคนที่คนอื่นเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ไปแล้วตามกระแสนั้นง่ายกว่ามาก เพราะคนทำ ไม่จำเป็นต้องมีอุดมการณ์ของตัวเอง... ...ที่นี้พอคนประเภทนี้ได้ลิ้มรสชาติความสุขสะใจเช่นนั้นไปครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อกระบวนการพิพากษาลงโทษเรื่องนึงจบลง ก็คงต้องเริ่มหาเหยื่อรายใหม่สำหรับวิพากษ์วิจารณ์ต่อไปอีก ตัวเองจะได้มีความสุขสะใจต่อไป"
คำสารภาพ เขียนโดย มินะโตะ คะนะเอะ แพรวสำนักพิมพ์ ราคาปก 195 บาท
8.ในครึ่งที่ยังว่าง ของกระเป๋าเดินทางสีฟ้า
นวนิยายญี่ปุ่น อ่านง่าย สนุกดี เหมือนได้เที่ยวทิพย์ไปหลายประเทศ (นิวยอร์ค ฮ่องกง อาบูดาบี ปารีส ชตุทท์การ์ท) เรื่องราวของกลุ่มเพื่อนสาววัย 30 ที่แต่ละคนได้เดินทางไปต่างประเทศพร้อมกับ "กระเป๋าเดินทางสีฟ้า" ที่เพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งซื้อมาจากตลาดของมือสองในราคาถูกมาก หลังจากได้กระเป๋ามา แต่ละคนก็กลายเป็นมีโอกาสได้ไปต่างประเทศด้วยเหตุผลต่าง ๆ กัน เช่น อยากกล้าเดินทางคนเดียว อยากเที่ยวกับแฟนที่เพิ่งคบกัน อยากปลดปล่อยตัวเองแบบที่ทำไม่ได้ในประเทศ หรือแม้แต่ไม่อยากไปต่างประเทศ แต่ก็ต้องไปเพราะต้องไปทำงาน
