ตามธรรมเนียมครับ สิ้นปีเมื่อไหร่ ก็อยากจะทบทวนดูว่าปีนี้ผ่านอะไรมาบ้าง โดยเฉพาะเรื่องของการอ่านหนังสือที่กลายเป็นงานหลักของผมไปแล้ว สำหรับปีนี้ 2021 พอย้อนกลับไปอ่านที่เขียนไว้ในปี 2020 พบว่ามีความใกล้เคียงกันคือ อ่านหนังสือแนว How to น้อยลง อ่านนิยาย เรื่องสั้นมากขึ้น (และดูหนัง/ซีีรีส์ เพิ่มขึ้นอย่างมาก) ส่วนนิสัยที่ยังแก้ไม่ได้เสียทีก็คือ เห็นหนังสือน่าอ่าน (หรือน่าเก็บ เช่น ปกแข็ง ลิมิเต็ด) เป็นต้องสั่งซื้อมาดองไว้ที่บ้านทุกที ยิ่งปีนี้หนักหน่วงที่สุด เท่าที่ตาเห็น ก็หลายสิบเล่มที่ยังไม่แม้แต่จะเปิดอ่านสักหน้า (ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า ถ้าหาซื้อไม่ได้แล้วจะเสียใจทีหลัง) และแน่นอนครับ ผมซื้อหนังสือผ่านช่องทางออนไลน์ 100% จนแอบเอาใจช่วยอยู่ว่าร้านหนังสือจะอยู่อย่างไร
เนื่องจากปีนี้อ่านเยอะ จากที่เคยจัดอันดับ 10 เล่มที่อ่านแล้วชอบ ปีนี้ขอขยับเป็น "หนังสือ 21 เล่มที่ชอบที่สุดในปี 2021" ครับ และต่อไปนี้คือรายชื่อหนังสือดังกล่าว (ไม่ได้เรียงลำดับความชอบ) 11 เล่มแรกเป็นหนังสือในแนว Non Fiction และอีก 10 เล่มเป็น Fiction
...หวังว่าจะมีบางเล่มที่คุณน่าจะชอบเช่นกัน (ส่วนของปี 2020 อ่านได้ ที่นี่ ครับ)

1.เดินสู่อิสรภาพ (ฉบับทศวรรษใหม่)

เรื่องราวบันทึกการเดินทางของ "อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์" เมื่อปี 2548 ของชายวัย 51 ปี ผู้เป็นอาจารย์สอนวิชาปรัชญาและศาสนา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เขาลาออกจากราชการ เพื่อกลับบ้านเกิดที่เกาะสมุย สุราษฎร์ธานี
ฟังดูธรรมดา แต่ความไม่ธรรมดาของการเดินทางครั้งนี้ก็คือ เขา "เดิน" กลับบ้าน จากเชียงใหม่สู่เกาะสมุย มีสัมภาระคือเป้สะพายหลังใบเดียว ค่ำไหนนอนนั่น และไม่พกเงินแม้สักบาทเดียว ด้วยจุดประสงค์เพื่อเผชิญกับความไม่แน่นอน ความไม่มั่นคง ความกลัวไม่ปลอดภัย เพื่อฝึกดูใจตัวเองว่าเกิดความรู้สึกใดขึ้นบ้างเมื่อหิว กระหาย เหนื่อย เจ็บเท้า และความรู้สึกอื่น ๆ ที่ผุดขึ้นภายใน
แล้วเขาจะเอาอะไรกิน? แล้วเขาจะนอนที่ไหน? แล้วเขาจะเดินไหวเหรอ? คำตอบที่น่าทึ่งก็คือ ตลอดเส้นทาง แม้ไม่ได้ร้องขออาหารสักนิด แต่กลับมีคนแปลกหน้า นำอาหาร น้ำดื่ม เงินทอง (ซึ่งเขาไม่รับ) มามอบให้อาจารย์ประมวลได้ต่อชีวิต เดินต่อไป เรียกว่าจากเหนือจรดใต้เกิดเหตุการณ์ซ้ำ ๆ เช่นนี้ตลอดทั้งเล่มที่ผมอ่าน แม้แต่ที่พัก ก็ยังมีชาวบ้านชวนเขาไปนอนค้างอ้างแรม (แต่ส่วนใหญ่ อาจารย์จะนอนตามวัดต่าง ๆ)
ยอมรับว่าทีแรก ผมอ่านไปก็เริ่มเบื่อนิด ๆ เพราะเหตุการณ์ในเล่มเกิดขึ้นซ้ำเดิม เหมือนบันทึกประจำทั่ว ๆ ไป แต่พออ่านไปได้สักพัก แปลกใจตัวเองที่ความรู้สึก "ศรัทธาในเพื่อนมนุษย์" มันตื้นตันจนล้นออกมา อย่างน้อยก็น่าดีใจว่าคนเรามิอาจทนเห็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันลำบาก เรามีจิตใจของการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน พอได้รู้ว่าอาจารย์เดินมา ยังไม่ได้กินอะไร (อาจารย์ประมวลไม่ได้เล่าให้ฟังเพื่อขอความเห็นใจ แต่คนที่เห็น เดินเข้ามาถามเอง) ก็ล้วนแต่รีบหาอาหารน้ำดื่มมาให้ ...บางช่วงบางตอน ผมน้ำตาซึม เพราะอิ่มเอมในความช่วยเหลือเกื้อกูลกันเช่นนี้
นอกจากบันทึก "การเดินทางด้านนอก" ว่าอาจารย์พบเจอใครบ้างระหว่างทาง อาจารย์ยังบันทึก "การเดินทางด้านใน" ให้เรารับรู้อีกด้วย หลายบรรทัดเป็นเรื่องปรัชญา หลายบรรทัดเป็นเรื่องพระธรรมในศาสนาพุทธ บอกเล่าผ่านภาษาที่งดงามมาก
อันที่จริง ผมเคยเห็นหนังสือเล่มนี้มานานแล้ว เพราะฉบับพิมพ์ครั้งแรกออกมาเมื่อประมาณ 12 ปี แต่ไม่ได้สนใจจะอ่าน แต่ก็แปลกใจเสมอมาว่าทำไม "เดินสู่อิสรภาพ" จึงตีพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แถมยังได้รับรางวัลจากหลายเวที จนกระทั่งปลายปีที่แล้ว (2020) สำนักพิมพ์ได้พิมพ์เวอร์ชั่นใหม่ออกมา เรียกว่า "ฉบับทศวรรษใหม่" ปกสวย รูปเล่มงดงาม จึงได้ซื้อมาอ่านนี่แหละครับ (แต่ก็ดองไว้หลายเดือน)
หนังสือพิมพ์ดีมาก กระดาษคุณภาพ มีลูกเล่นอย่างเช่นเลขหน้าถอยหลังจากหน้า 596 ถอยไปหน้า 1 รวมถึงมีคิวอาร์โค้ดที่ใช้มือถือส่องก็จะพบกับเสียงพูดอธิบายเพิ่มเติมจากอาจารย์ประมวล ถือเป็นหนังสือดีอีกเล่ม เหมาะกับการอ่านในช่วงเริ่มต้นปีหรือจะเป็นเวลาไหนก็ได้ที่อยากออกเดินทางภายใน
"เดินสู่อิสรภาพ (ฉบับทศวรรษใหม่)" เขียนโดย ประมวล เพ็งจันทร์ สำนักพิมพ์สุขภาพใจ ราคาปก 690 บาท
2.หนทางความสุข

นี่คือหนังสือชนิดที่ "อ่านทบทวนซ้ำได้ตลอดชีวิต" ข้อความในหนังสือยังคงเดิม แต่เมื่อประสบการณ์ชีวิตเพิ่ม เราจะเข้าใจในเนื้อหามากขึ้น "หนทางความสุข" คืองานเขียนของปราชญ์ชาวจีนนาม "หงจื้อเฉิง" ผู้มีชีวิตอยู่เมื่อหลายร้อยปีก่อน เขารวบรวมแนวคิด 3 สายธาร คือ พุทธ เต๋า ขงจื๊อ แล้วนำมาบรรจบไว้ในหนังสือชื่อหนทางความสุข ทั้งหมดเป็นแนวคิดในการดำเนินชีวิตไม่ใช่เพื่อไปสู่ความสุข แต่เพื่ออยู่บนหนทางความสุข
ส่วนผู้แปลหนังสือเล่มนี้ให้เป็นภาษาไทยคือ นักเขียน/นักแปล ผู้มากประสบการณ์ "คุณวิวัฒน์ ประชาเรืองวิทย์" ผู้อาวุโสวัย 91 ปี แรกเริ่มเดิมที คุณวิวัฒน์แปลเนื้อหาในเล่มเพียงเพื่อหวังว่าได้ใช้เป็นข้อคิดสอนลูกหลานในครอบครัว แปลวันละนิดหน่อย จนกระทั่งผ่านไปเป็นปี จึงได้เนื้อหาจำนวนมาก โดยเขาไม่ได้แปลโดยตรงทั้งหมด หากแต่เสริมบทเรียนชีวิตตัวเองเข้าไปด้วย (จริง ๆ อาชีพเขาคือพ่อค้านักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ทำประโยชน์ให้บ้านเกิดมากมาย)
ในที่สุด ลูกหลานอ่านแล้วเห็นว่าเป็นประโยชน์ ดีเกินกว่าจะเก็บไว้อ่านเพียงในตระกูล จึงคิดร่วมกันว่าจะตีพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือ ช่วยกันเรียบเรียงภาษา หาคนวาดภาพประกอบ จนกระทั่งจัดทำออกมาเป็นรูปเล่ม ปกแข็ง สันโค้ง เย็บกี่ไสกาวอย่างดี ความหนานั้นมากถึง 664 หน้า แบ่งเป็นบทย่อยเกือบ 350 บทสั้น ๆ แต่ทุกบรรทัดลึกซึ้ง คมคาย มีวรรณศิลป์ เต็มไปด้วยข้อคิดในการทำงาน การใช้ชีวิต การคบหาสมาคม การทำตนให้มีประโยชน์ การควบคุมจิตใจตัวเอง
ข้อดีของหนังสือเล่มนี้คือ แบ่งเป็นบทย่อย ๆ คล้ายอ่านสเตตัส เนื้อหาแต่ละบทเป็นอิสระจากกัน นี่จึงเป็นหนังสือที่ไม่จำเป็นต้องอ่านรวดเดียวจบ อ่านวันละหน้าสองหน้า ...ยิ่งจิบชาไปด้วย ยิ่งนับเป็นความรื่นรมย์ของชีวิต
มีหลายช่วงหลายตอนที่ผมชอบมาก ขอยกเป็นตัวอย่างบางบรรทัด
ผู้อยู่ในม่านเมฆไม่เห็นเมฆ ผู้อยู่ในที่เหม็นไม่รู้เหม็น ผู้ดูอยู่ข้าง ๆ ย่อมแจ่มแจ้ง ผู้อยู่แท้จริงเลอะเลือนเอง
ขณะเดินอยู่ในตรอกอันเป็นที่คับแคบ ต้องสำรวมเพื่อเหลือที่ให้คนอื่นเดินได้ เวลาได้ลิ้มรสอาหารโอชาถูกปาก ต้องเหลือไว้สามส่วน เพื่อให้คนอื่นได้รับประทาน
ฝาโลงปิดหน้าแล้วจึงวิจารณ์ได้ว่า ตลอดชีวิตคนผู้นี้เป็นอย่างไร
ยาดีขมปาก คำสัตย์ขัดหู หากทุก ๆ คำพูดล้วนเสนาะหู ทุก ๆ เรื่องล้วนชื่นใจ (คือคำประจบสอพลอ) ชีวิตเราก็เหมือนจมอยู่ในยาพิษแล้ว
บางประโยค หากมีประสบการณ์ผ่านมาแล้ว เมื่ออ่านพบจึงเข้าใจ บางประโยค หากชีวิตยังไม่ได้รับบทเรียน เมื่ออ่านพบ อาจต้องรอวันเข้าใจ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ผมบอกไว้ในตอนต้นว่า "นี่คือหนังสือชนิดที่อ่านทบทวนซ้ำได้ตลอดชีวิต"
หนังสือเล่มนี้ไม่มีวางจำหน่ายทั่วไป พิมพ์น้อยมาก ต้องสั่งโดยตรงกับทางลูกสาวคุณวิวัฒน์ครับ ราคาเล่มละ 695 บาท (ผมไม่แน่ใจว่ามีค่าส่งด้วยหรือเปล่า) ใครสนใจ ขอให้ลองติดต่อด้วยการ "แอดไลน์" เบอร์นี้ 089 6959 445 (ใช้แอดไลน์นะครับ เพราะถ้าโทร จะส่งชื่อที่อยู่กันลำบาก)
ทักไปว่า สนใจซื้อหนังสือหนทางความสุข (ผมไม่ได้ค่าโฆษณาครับ)
3.Econonix เศรษฐกิจ สะกิดสมอง

หนังสือที่เล่าเรื่องยาก ๆ อย่างกลไกเศรษฐกิจผ่านการ์ตูนช่องขาวดำ เนื้อหาครอบคลุมช่วงเวลากว่า 200 ปีที่ผ่านมา ว่ากันตั้งแต่...
ยุคก่อนปี 1820 (ทุนนิยม อดัม สมิธ The Wealth of Nations ตลาดเสรี การปฏิวัติอเมริกาและฝรั่งเศส
ยุค 1820-1865 (ปฏิวัติอุตสาหกรรม สังคมนิยม ประชาธิปไตย อุปสงค์ อุปทาน)
ยุค 1865-1914 (สงครามกลางเมืองสหรัฐ การเลิกทาส ทางรถไฟ บริษัทน้ำมัน ตลาดหุ้น)
ยุค 1914-1945 (สงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ความรุ่งเรืองของเศรษฐกิจ และภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ การปฏิวัติรัสเซีย)
ยุค 1945-1966 (อเมริกาเฟื่องฟู สงครามเย็น JFK ประเทศโลกที่สาม)
ยุค 1966-1980 (โฆษณา การตลาด การผูกขาดทางการค้า นิกสัน การบริหารจัดการ การค้าระหว่างประเทศ)
ยุค 1980-2001 (เรแกน เครื่องมือทางการเงิน FED หนี้สาธารณะ คลินตัน ประกันสุขภาพ โลกร้อน โลกาภิวัฒน์)
ยุค 2001 เป็นต้นมา (สงครามเย็นครั้งใหม่ สินเชื่อบ้านที่พังทลาย โอบามา ทรัมป์)
เล่มนี้นับถือใจผู้แปล รู้เลยว่าเล่มนี้งานยาก งานหนัก เพราะถึงจะเป็นหนังสือการ์ตูน แต่เนื้อหาจัดเต็ม ข้อมูล ตัวหนังสือเพียบ แปลไม่ง่ายเลย
อย่างไรก็ตาม ต้องบอกไว้ก่อนว่าเล่มนี้เนื้อหาไม่ง่ายนะครับ คนเขียนเขาไม่ได้มาเล่น ๆ ไม่ได้ไว้ให้อ่านเพลิน ๆ เพราะนี่ไม่ใช่หนังสือวิชาเศรษฐศาสตร์ 101 เอาจริง ๆ ผมคิดว่าเล่มนี้คือประวัติศาสตร์โลกยุคใหม่ (เน้นไปที่อเมริกา) โดยเล่าผ่านแว่นตาของการมองภาพเศรษฐกิจ ผู้อ่านจำเป็นต้องมีความรู้ระดับหนึ่งเกี่ยวกับเหตุบ้านการเมืองรอบโลก ผมเองยอมรับว่าเข้าใจเนื้อหาเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ข้อดีก็คือ มันชวนให้เราไปหาหนังสือเล่มอื่น ๆ อ่านเพิ่มเติม
"Econonix เศรษฐกิจ สะกิดสมอง" เขียนโดย Michael Goodwin แปลโดย วิรัตน์ รัตนเวชสิทธิ สำนักพิมพ์ลีฟริช ราคาปก 350 บาท
4.หนังสือชุด "เปลี่ยนชีวิตเจ็ดด้านสู่การเติบโตในพระคริสต์"

หนังสือชุดนี้มี 7 เล่ม ดีมากอยากให้อ่านครับ แต่ออกตัวไว้ก่อน 2 ข้อ หนึ่ง นี่คือหนังสือที่เขียนขึ้นตามคำสอนของศาสนาคริสต์ และสอง ผมไม่ใช่คริสเตียน ดังนั้นการเขียนถึงหนังสือชุดนี้จึงไม่ใช่การเชิญชวน และอาจมีบางส่วนที่ผมเข้าใจคลาดเคลื่อน หากผิดพลาด ต้องขออภัยครับ
ผมพบหนังสือชุดนี้จากการซื้อหนังสือเล่มหนึ่งผ่านช่องทางออนไลน์ แล้วระบบก็แนะนำหนังสือชุดนี้ ผมมาติดใจตรงชื่อหนังสือที่เป็นเหมือนคู่มือการใช้ชีวิตแต่ละด้าน พอเห็นราคาเล่ม 55 บาทเท่านั้น ก็เลยสั่งมาอ่านหนึ่งเล่มก่อน (เลี้ยงดูด้วยรัก) ปรากฏว่าชอบ จึงสั่งมาให้ครบชุดครับ
เมื่ออ่านจบก็พบว่า นี่คือหนังสือที่ดีมาก ๆ จะมองให้เป็นมุมศาสนาก็ได้ (หากคุณเชื่อ) หรือจะมองเป็นหนังสือพัฒนาตนเองก็ได้ เพราะบรรดาหนังสือพัฒนาตัวเองของฝรั่ง ก็ล้วนแต่มีรากฐานมาจากศาสนาคริสต์แทบทั้งสิ้น
หนังสือชุดนี้ใช้ชื่อว่า "เปลี่ยนชีวิตเจ็ดด้านสู่การเติบโตในพระคริสต์" โดย 7 ด้านนั้นได้แก่ จิตวิญญาณ(อยู่ในพระคริสต์) จิตใจ(ตัดสินใจอย่างชาญฉลาด) สังคม(ให้โอกาส-ให้อภัย) ร่างกาย(อิสระทางกาย) การเงิน(ปลดหนี้มีเงินใช้) ชีวิตสมรส(เข้าใจชีวิตคู่) และการเลี้ยงดูบุตร(เลี้ยงดูด้วยรัก)
ถ้าคุณเป็นชาวคริสเตียนอยู่แล้ว ผมคิดว่าหนังสือชุดนี้จะเป็นคู่มือเอาไว้ทบทวนคำสอนได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม หากตัดประเด็นเรื่องคำสอนของศาสนาออกไป หนังสือเล่มนี้ก็ยังมีเนื้อหาที่ดีมาก อ่านแล้วหากนำไปใช้ เราจะกลายเป็นคนที่ดีกว่าเดิมในหลายด้าน หลายประโยคต้องบอกว่าทำให้ผม "ตื่น" มองตัวเอง มองผู้อื่น มองโลกไปในมุมใหม่
ผมขอยกตัวอย่างบางประโยคที่ชอบมาก ปน ๆ กันไปทั้ง 7 เล่มนะครับ
โลกใส่ความคิดให้คุณว่า คุณจะพอใจถ้าคุณได้รับหรือได้มีสิ่งเหล่านี้ และเนื้อหนังของคุณก็เชื่ออย่างนั้น... ...ความจริงก็คือ เนื้อหนังของคุณไม่มีวันพึงพอใจแม้ว่าคุณจะมีรูปร่างหน้าตาดี หรือมีสิ่งของมากมายเพียงไร หรือมีความสุขกับความสัมพันธ์ต่าง ๆ
สิ่งที่ผู้อื่นทำกับคุณอาจจะผิดอย่างมหันต์ แต่สิ่งที่คุณเลือกจะตอบโต้จะบ่งบอกว่าคุณเองก็กำลังทำผิดด้วยหรือไม่
คุณไม่สามารถรักผู้อื่นได้ในขณะที่คุณยังคงตัดสินพวกเขา เมื่อคุณเลือกจะหยุดตัดสินผู้อื่น คุณจะเห็นความผิดของผู้อื่นน้อยลง ...จงจำไว้ว่าคุณเองก็อ่อนแอต่อการล่อลวงแบบเดียวกัน และอาจมีความเย่อหยิ่งแบบเดียวกัน
การยกย่องให้เกียรติคู่สมรสของคุณคือการเคารพและรักในทุก ๆ ส่วนที่เป็นตัวเขา (จิตวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย) ซึ่งเป็นการสร้างความอุ่นใจให้กับเขา
วิธีการเลี้ยงลูก 4 แบบ 1.ยอมรับมาก สั่งสอนมาก (สัมฤทธิ์ผล ดีที่สุด) 2.ยอมรับมาก สั่งสอนน้อย (ตามใจ ไม่ค่อยดี) 3.ยอมรับน้อย สั่งสอนน้อย (แย่ ปล่อยปละละเลย) 4.ยอมรับน้อย สั่งสอนมาก (บงการ แย่ที่สุด) "เมื่อการยอมรับมาทีหลัง นั่นคือการบงการ เมื่อการยอมรับมาก่อน นี่แหละคือความรัก"
จุดที่ผมคิดว่า "เจ๋งมาก เต็มสิบไม่หัก" ของหนังสือทั้ง 7 เล่มนี้ก็คือ ทีมผู้เขียนสามารถแปลงเนื้อหาในแต่ละเล่มให้เป็น "แผนภาพ" ที่เข้าใจง่าย จำได้ไม่ลืม แผนภาพดังกล่าวมีแค่เส้น วงกลม สามเหลี่ยม กับตัวหนังสืออีกไม่มาก แต่กลับสรุปความทั้งหมดได้ครบถ้วนอย่างเหลือเชื่อ
สรุป ถือเป็นหนังสือที่ผมทึ่งในเนื้อหา ทึ่งในวิธีนำเสนอ หากไม่ขัดกับข้อห้ามที่คุณนับถืออยู่ อยากให้ลองหามาอ่านครับ ดีจริง ๆ ลองซื้อมาอ่านสักเล่มในหัวข้อที่คุณสนใจก่อนก็ได้
หนังสือชุด "เปลี่ยนชีวิตเจ็ดด้านสู่การเติบโตในพระคริสต์" สำนักพิมพ์กนกบรรณสาร ราคาเล่มละ 55 บาท
5.ความสัมพันธ์ (Relation)

ดีที่สุดเล่มหนึ่งตั้งแต่ผมเคยอ่านหนังสือที่ว่าด้วย "ความสัมพันธ์" ผมให้นิยามสั้น ๆ สำหรับเล่มนี้ว่า "หนังสือโคตรไม่โรแมนติก" ที่บอกแบบนี้ก็เพราะประเด็นตั้งต้นของเนื้อหา ผู้เขียนบอกว่า ความเชื่อและค่านิยมต่าง ๆ เกี่ยวกับความรักที่เรายึดถือกันอยู่ตอนนี้นั้น เพิ่งเกิดขึ้นมาเมื่อ 250 ปีก่อน ซึ่งคือ "ยุคโรแมนติก" นั่นเอง โดยมันสืบทอดมาจนถึงยุคปัจจุบัน และยังถูกเล่าขานผ่านเพลง หนัง หนังสือ
ความเชื่อที่ว่านั้นก็อย่างเช่น ความรักคือการใช้ความรู้สึกนำพาหัวใจไป โลกนี้มีคนที่ใช่สำหรับเรา เขารอเราอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง เขาคือคนที่รู้ใจ พอดีกับเราไปเสียทุกอย่าง ไม่ต้องพูดอะไร เขาก็รู้ว่าเรารู้สึกอย่างไร ส่วนเราเองก็ไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตัวเอง เพราะรักแท้คือการที่ใครสักคนยอมรับในแบบที่เราเป็น เขาจะเป็นทุกอย่างให้กับเรา และเราสองคนจะไม่มีความลับต่อกัน
ทั้งหมดนี้ผู้เขียนบอกว่า นี่คือ "หายนะของความรัก" มันทำให้เกิดความคาดหวังที่ไม่มีทางสมหวังได้ง่าย ๆ ทำให้เกิดความกดดัน และชีวิตคู่จะกลายเป็นงานที่ยากลำบาก
วิธีที่ผู้เขียนนำเสนอ ก็คือ ให้แทนที่แบบแผนของลัทธิโรแมนติกด้วยความรักที่มีวุฒิภาวะทางจิตวิทยา เช่น ยอมรับว่าเราและคู่มีข้อบกพร่อง เราไม่มีวันพบทุกอย่างที่ถูกใจในคนอีกคน และเรื่องที่ดูไม่โรแมนติกอย่างเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เรื่องการรีดผ้าและการทำงานบ้าน ก็เป็นเรื่องที่คู่รักต้องตกลงกันให้ชัดเจน
ผมชอบที่หนังสือเล่มนี้เขียนสั้น กระชับ แบ่งเป็นบทสั้น 20 บท บทนึงไม่ถึง 10 หน้า ทั้งเล่มหนา 160 หน้า เล่มเล็กมาก แต่กลับครอบคลุมประเด็นที่น่าสนใจไว้มากมาย จนผมแทบจะขีดไฮไลท์ทุกบรรทัด ที่สำคัญภาษาตลกเสียดสีอย่างร้ายกาจ เนื้อหาผสมผสานปรัชญาและจิตวิทยาไว้ได้อย่างลงตัว (แต่บางบทอ่านยากสักนิด เพราะรูปประโยคซับซ้อนตามสไตล์ภาษาอังกฤษ และผู้แปลก็อยากคงโครงสร้างภาษาแบบนี้ไว้)
ขอยกตัวอย่างบางประโยคที่ผมชอบมาก ดังนี้
เราผิดพลาดที่คิดไปเองว่าเรารู้วิธีที่จะรักมาตั้งแต่ลืมตาดูโลก การจัดการความสัมพันธ์น่าจะเป็นเรื่องง่าย ๆ ตามสัญชาตญาณ แต่ความรักเป็นทักษะที่ต้องเรียนรู้มากกว่าจะเป็นอารมณ์ที่รู้สึก
ไม่มีคู่ครองในอุดมคติสำหรับเราอย่างแน่นอน อะไรก็ตามที่เราชอบมาก ๆ ในตัวใครสักคน จะทำให้เขาน่าหงุดหงิดรำคาญใจในแง่อื่น ๆ ด้วย เราอาจหันไปหาคนใหม่ที่น่ารัก ทว่าความน่ารักของเขาก็จะพ่วงความด่างพร้อยมาด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เวลาคนรักของเราทำตัวเลวร้าย สิ่งที่เขาไม่ได้พูดแต่สมควรที่จะพูดก็คือ ลึก ๆ แล้วฉันยังเป็นเด็กทารกอยู่ และในตอนนี้ฉันอยากให้คุณเป็นพ่อแม่ของฉัน ฉันอยากให้คุณเดาให้ถูกว่าจริง ๆ แล้วฉันกำลังทรมานกับเรื่องอะไรกันแน่ เหมือนที่ผู้คนทำกับฉันสมัยที่ยังเป็นเด็ก ในตอนที่ความคิดเรื่องความรักของฉันเพิ่งจะเริ่มก่อตัวขึ้น
เมื่อคนมีสติปัญญาและคนอารมณ์อ่อนไหวมามีความสัมพันธ์กัน พวกเขามักจะตระหนักถึงเรื่องการใช้เวลาร่วมกัน (และเรื่องอื่น ๆ ที่สำคัญ) แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ค่อยได้ใคร่ครวญมากนักถึงคำถามที่ว่า แล้วใครจะเป็นคนรีดผ้า?
จริง ๆ หนังสือเล่มนี้ออกมาได้ 3 ปีแล้ว และเป็นหนึ่งในซีรีส์ The School of Life ซึ่งฉบับภาษาอังกฤษนั้นค่อนข้างโด่งดัง เป็นที่พูดถึง น่าเสียดายที่พอเป็นฉบับไทยกลับเงียบหายขายไม่น่าจะดี (ในชุดที่แปลไทยมี 5 เล่ม) ทั้งที่ทีมงานไทยก็ระดับแถวหน้า (ผู้จัดการโครงการโดย ปราบดา หยุ่น) ถ้าให้ผมเดา สาเหตุคงเพราะหน้าปกที่เรียบง่ายเกินไป ไม่มีคำอธิบายใด ๆ ที่จะดึงดูดให้เปิดอ่าน แถมยังเล่มเล็ก กระดาษธรรมดา คล้ายหนังสือที่อ่านจบแล้วทิ้งไว้ตามโรงแรมได้เลย ซึ่งต่างกับฉบับอังกฤษที่ทำปกแข็งอย่างดี ดูน่าสะสม (แต่ก็เข้าใจครับว่าแบบนั้นต้นทุนคงแพง และตั้งใจทำปกให้เรียบง่ายเหมือนหนังสือต้นฉบับ)
ไม่เกินไปถ้าจะบอกว่านี่คือหนึ่งในหนังสือที่ underrated หรือถูกให้คุณค่าต่ำกว่าความเป็นจริง ผมแนะนำให้หามาอ่านแบบสุด ๆ ครับ อาจหายากหน่อย เพราะออกมานานแล้ว
"ความสัมพันธ์" เขียนโดย The School of Life สำนักพิมพ์ B2S ราคาปก 215 บาท
6.โปรดโอบกอดมนุษย์ลูก

หนังสือเหมาะสำหรับคนที่มีลูก คนที่คิดจะมีลูก หรือแม้แต่คนที่ไม่มีลูก แต่อยากย้อนเวลากลับไปว่าเรานั้นผ่านอะไรมาบ้างจึงมาเป็นเราในวันนี้ เขียนโดยนักเขียนรางวัลซีไรต์ 2 สมัย "วีรพร นิติประภา" หากใครเคยอ่านงานของนักเขียนท่านนี้ ย่อมรู้ดีว่านี่ต้องไม่ใช่หนังสือหวานแหววในแนวรักลูก แม่และเด็ก อะไรทำนองนั้น ทัศนะแม่ในแบบวีรพร...ต้องไม่ธรรมดา