top of page

หนังสือ 21 เล่มที่ชอบที่สุดในปี 2021

ตามธรรมเนียมครับ สิ้นปีเมื่อไหร่ ก็อยากจะทบทวนดูว่าปีนี้ผ่านอะไรมาบ้าง โดยเฉพาะเรื่องของการอ่านหนังสือที่กลายเป็นงานหลักของผมไปแล้ว สำหรับปีนี้ 2021 พอย้อนกลับไปอ่านที่เขียนไว้ในปี 2020 พบว่ามีความใกล้เคียงกันคือ อ่านหนังสือแนว How to น้อยลง อ่านนิยาย เรื่องสั้นมากขึ้น (และดูหนัง/ซีีรีส์ เพิ่มขึ้นอย่างมาก) ส่วนนิสัยที่ยังแก้ไม่ได้เสียทีก็คือ เห็นหนังสือน่าอ่าน (หรือน่าเก็บ เช่น ปกแข็ง ลิมิเต็ด) เป็นต้องสั่งซื้อมาดองไว้ที่บ้านทุกที ยิ่งปีนี้หนักหน่วงที่สุด เท่าที่ตาเห็น ก็หลายสิบเล่มที่ยังไม่แม้แต่จะเปิดอ่านสักหน้า (ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า ถ้าหาซื้อไม่ได้แล้วจะเสียใจทีหลัง) และแน่นอนครับ ผมซื้อหนังสือผ่านช่องทางออนไลน์ 100% จนแอบเอาใจช่วยอยู่ว่าร้านหนังสือจะอยู่อย่างไร


เนื่องจากปีนี้อ่านเยอะ จากที่เคยจัดอันดับ 10 เล่มที่อ่านแล้วชอบ ปีนี้ขอขยับเป็น "หนังสือ 21 เล่มที่ชอบที่สุดในปี 2021" ครับ และต่อไปนี้คือรายชื่อหนังสือดังกล่าว (ไม่ได้เรียงลำดับความชอบ) 11 เล่มแรกเป็นหนังสือในแนว Non Fiction และอีก 10 เล่มเป็น Fiction


...หวังว่าจะมีบางเล่มที่คุณน่าจะชอบเช่นกัน (ส่วนของปี 2020 อ่านได้ ที่นี่ ครับ)



1.เดินสู่อิสรภาพ (ฉบับทศวรรษใหม่)


เรื่องราวบันทึกการเดินทางของ "อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์" เมื่อปี 2548 ของชายวัย 51 ปี ผู้เป็นอาจารย์สอนวิชาปรัชญาและศาสนา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เขาลาออกจากราชการ เพื่อกลับบ้านเกิดที่เกาะสมุย สุราษฎร์ธานี


ฟังดูธรรมดา แต่ความไม่ธรรมดาของการเดินทางครั้งนี้ก็คือ เขา "เดิน" กลับบ้าน จากเชียงใหม่สู่เกาะสมุย มีสัมภาระคือเป้สะพายหลังใบเดียว ค่ำไหนนอนนั่น และไม่พกเงินแม้สักบาทเดียว ด้วยจุดประสงค์เพื่อเผชิญกับความไม่แน่นอน ความไม่มั่นคง ความกลัวไม่ปลอดภัย เพื่อฝึกดูใจตัวเองว่าเกิดความรู้สึกใดขึ้นบ้างเมื่อหิว กระหาย เหนื่อย เจ็บเท้า และความรู้สึกอื่น ๆ ที่ผุดขึ้นภายใน


แล้วเขาจะเอาอะไรกิน? แล้วเขาจะนอนที่ไหน? แล้วเขาจะเดินไหวเหรอ? คำตอบที่น่าทึ่งก็คือ ตลอดเส้นทาง แม้ไม่ได้ร้องขออาหารสักนิด แต่กลับมีคนแปลกหน้า นำอาหาร น้ำดื่ม เงินทอง (ซึ่งเขาไม่รับ) มามอบให้อาจารย์ประมวลได้ต่อชีวิต เดินต่อไป เรียกว่าจากเหนือจรดใต้เกิดเหตุการณ์ซ้ำ ๆ เช่นนี้ตลอดทั้งเล่มที่ผมอ่าน แม้แต่ที่พัก ก็ยังมีชาวบ้านชวนเขาไปนอนค้างอ้างแรม (แต่ส่วนใหญ่ อาจารย์จะนอนตามวัดต่าง ๆ)


ยอมรับว่าทีแรก ผมอ่านไปก็เริ่มเบื่อนิด ๆ เพราะเหตุการณ์ในเล่มเกิดขึ้นซ้ำเดิม เหมือนบันทึกประจำทั่ว ๆ ไป แต่พออ่านไปได้สักพัก แปลกใจตัวเองที่ความรู้สึก "ศรัทธาในเพื่อนมนุษย์" มันตื้นตันจนล้นออกมา อย่างน้อยก็น่าดีใจว่าคนเรามิอาจทนเห็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันลำบาก เรามีจิตใจของการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน พอได้รู้ว่าอาจารย์เดินมา ยังไม่ได้กินอะไร (อาจารย์ประมวลไม่ได้เล่าให้ฟังเพื่อขอความเห็นใจ แต่คนที่เห็น เดินเข้ามาถามเอง) ก็ล้วนแต่รีบหาอาหารน้ำดื่มมาให้ ...บางช่วงบางตอน ผมน้ำตาซึม เพราะอิ่มเอมในความช่วยเหลือเกื้อกูลกันเช่นนี้


นอกจากบันทึก "การเดินทางด้านนอก" ว่าอาจารย์พบเจอใครบ้างระหว่างทาง อาจารย์ยังบันทึก "การเดินทางด้านใน" ให้เรารับรู้อีกด้วย หลายบรรทัดเป็นเรื่องปรัชญา หลายบรรทัดเป็นเรื่องพระธรรมในศาสนาพุทธ บอกเล่าผ่านภาษาที่งดงามมาก


อันที่จริง ผมเคยเห็นหนังสือเล่มนี้มานานแล้ว เพราะฉบับพิมพ์ครั้งแรกออกมาเมื่อประมาณ 12 ปี แต่ไม่ได้สนใจจะอ่าน แต่ก็แปลกใจเสมอมาว่าทำไม "เดินสู่อิสรภาพ" จึงตีพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แถมยังได้รับรางวัลจากหลายเวที จนกระทั่งปลายปีที่แล้ว (2020) สำนักพิมพ์ได้พิมพ์เวอร์ชั่นใหม่ออกมา เรียกว่า "ฉบับทศวรรษใหม่" ปกสวย รูปเล่มงดงาม จึงได้ซื้อมาอ่านนี่แหละครับ (แต่ก็ดองไว้หลายเดือน)


หนังสือพิมพ์ดีมาก กระดาษคุณภาพ มีลูกเล่นอย่างเช่นเลขหน้าถอยหลังจากหน้า 596 ถอยไปหน้า 1 รวมถึงมีคิวอาร์โค้ดที่ใช้มือถือส่องก็จะพบกับเสียงพูดอธิบายเพิ่มเติมจากอาจารย์ประมวล ถือเป็นหนังสือดีอีกเล่ม เหมาะกับการอ่านในช่วงเริ่มต้นปีหรือจะเป็นเวลาไหนก็ได้ที่อยากออกเดินทางภายใน


"เดินสู่อิสรภาพ (ฉบับทศวรรษใหม่)" เขียนโดย ประมวล เพ็งจันทร์ สำนักพิมพ์สุขภาพใจ ราคาปก 690 บาท


2.หนทางความสุข


นี่คือหนังสือชนิดที่ "อ่านทบทวนซ้ำได้ตลอดชีวิต" ข้อความในหนังสือยังคงเดิม แต่เมื่อประสบการณ์ชีวิตเพิ่ม เราจะเข้าใจในเนื้อหามากขึ้น "หนทางความสุข" คืองานเขียนของปราชญ์ชาวจีนนาม "หงจื้อเฉิง" ผู้มีชีวิตอยู่เมื่อหลายร้อยปีก่อน เขารวบรวมแนวคิด 3 สายธาร คือ พุทธ เต๋า ขงจื๊อ แล้วนำมาบรรจบไว้ในหนังสือชื่อหนทางความสุข ทั้งหมดเป็นแนวคิดในการดำเนินชีวิตไม่ใช่เพื่อไปสู่ความสุข แต่เพื่ออยู่บนหนทางความสุข


ส่วนผู้แปลหนังสือเล่มนี้ให้เป็นภาษาไทยคือ นักเขียน/นักแปล ผู้มากประสบการณ์ "คุณวิวัฒน์ ประชาเรืองวิทย์" ผู้อาวุโสวัย 91 ปี แรกเริ่มเดิมที คุณวิวัฒน์แปลเนื้อหาในเล่มเพียงเพื่อหวังว่าได้ใช้เป็นข้อคิดสอนลูกหลานในครอบครัว แปลวันละนิดหน่อย จนกระทั่งผ่านไปเป็นปี จึงได้เนื้อหาจำนวนมาก โดยเขาไม่ได้แปลโดยตรงทั้งหมด หากแต่เสริมบทเรียนชีวิตตัวเองเข้าไปด้วย (จริง ๆ อาชีพเขาคือพ่อค้านักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ทำประโยชน์ให้บ้านเกิดมากมาย)


ในที่สุด ลูกหลานอ่านแล้วเห็นว่าเป็นประโยชน์ ดีเกินกว่าจะเก็บไว้อ่านเพียงในตระกูล จึงคิดร่วมกันว่าจะตีพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือ ช่วยกันเรียบเรียงภาษา หาคนวาดภาพประกอบ จนกระทั่งจัดทำออกมาเป็นรูปเล่ม ปกแข็ง สันโค้ง เย็บกี่ไสกาวอย่างดี ความหนานั้นมากถึง 664 หน้า แบ่งเป็นบทย่อยเกือบ 350 บทสั้น ๆ แต่ทุกบรรทัดลึกซึ้ง คมคาย มีวรรณศิลป์ เต็มไปด้วยข้อคิดในการทำงาน การใช้ชีวิต การคบหาสมาคม การทำตนให้มีประโยชน์ การควบคุมจิตใจตัวเอง


ข้อดีของหนังสือเล่มนี้คือ แบ่งเป็นบทย่อย ๆ คล้ายอ่านสเตตัส เนื้อหาแต่ละบทเป็นอิสระจากกัน นี่จึงเป็นหนังสือที่ไม่จำเป็นต้องอ่านรวดเดียวจบ อ่านวันละหน้าสองหน้า ...ยิ่งจิบชาไปด้วย ยิ่งนับเป็นความรื่นรมย์ของชีวิต


มีหลายช่วงหลายตอนที่ผมชอบมาก ขอยกเป็นตัวอย่างบางบรรทัด

  • ผู้อยู่ในม่านเมฆไม่เห็นเมฆ ผู้อยู่ในที่เหม็นไม่รู้เหม็น ผู้ดูอยู่ข้าง ๆ ย่อมแจ่มแจ้ง ผู้อยู่แท้จริงเลอะเลือนเอง

  • ขณะเดินอยู่ในตรอกอันเป็นที่คับแคบ ต้องสำรวมเพื่อเหลือที่ให้คนอื่นเดินได้ เวลาได้ลิ้มรสอาหารโอชาถูกปาก ต้องเหลือไว้สามส่วน เพื่อให้คนอื่นได้รับประทาน

  • ฝาโลงปิดหน้าแล้วจึงวิจารณ์ได้ว่า ตลอดชีวิตคนผู้นี้เป็นอย่างไร

  • ยาดีขมปาก คำสัตย์ขัดหู หากทุก ๆ คำพูดล้วนเสนาะหู ทุก ๆ เรื่องล้วนชื่นใจ (คือคำประจบสอพลอ) ชีวิตเราก็เหมือนจมอยู่ในยาพิษแล้ว

บางประโยค หากมีประสบการณ์ผ่านมาแล้ว เมื่ออ่านพบจึงเข้าใจ บางประโยค หากชีวิตยังไม่ได้รับบทเรียน เมื่ออ่านพบ อาจต้องรอวันเข้าใจ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ผมบอกไว้ในตอนต้นว่า "นี่คือหนังสือชนิดที่อ่านทบทวนซ้ำได้ตลอดชีวิต"


หนังสือเล่มนี้ไม่มีวางจำหน่ายทั่วไป พิมพ์น้อยมาก ต้องสั่งโดยตรงกับทางลูกสาวคุณวิวัฒน์ครับ ราคาเล่มละ 695 บาท (ผมไม่แน่ใจว่ามีค่าส่งด้วยหรือเปล่า) ใครสนใจ ขอให้ลองติดต่อด้วยการ "แอดไลน์" เบอร์นี้ 089 6959 445 (ใช้แอดไลน์นะครับ เพราะถ้าโทร จะส่งชื่อที่อยู่กันลำบาก)


ทักไปว่า สนใจซื้อหนังสือหนทางความสุข (ผมไม่ได้ค่าโฆษณาครับ)


3.Econonix เศรษฐกิจ สะกิดสมอง


หนังสือที่เล่าเรื่องยาก ๆ อย่างกลไกเศรษฐกิจผ่านการ์ตูนช่องขาวดำ เนื้อหาครอบคลุมช่วงเวลากว่า 200 ปีที่ผ่านมา ว่ากันตั้งแต่...

  1. ยุคก่อนปี 1820 (ทุนนิยม อดัม สมิธ The Wealth of Nations ตลาดเสรี การปฏิวัติอเมริกาและฝรั่งเศส

  2. ยุค 1820-1865 (ปฏิวัติอุตสาหกรรม สังคมนิยม ประชาธิปไตย อุปสงค์ อุปทาน)

  3. ยุค 1865-1914 (สงครามกลางเมืองสหรัฐ การเลิกทาส ทางรถไฟ บริษัทน้ำมัน ตลาดหุ้น)

  4. ยุค 1914-1945 (สงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ความรุ่งเรืองของเศรษฐกิจ และภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ การปฏิวัติรัสเซีย)

  5. ยุค 1945-1966 (อเมริกาเฟื่องฟู สงครามเย็น JFK ประเทศโลกที่สาม)

  6. ยุค 1966-1980 (โฆษณา การตลาด การผูกขาดทางการค้า นิกสัน การบริหารจัดการ การค้าระหว่างประเทศ)

  7. ยุค 1980-2001 (เรแกน เครื่องมือทางการเงิน FED หนี้สาธารณะ คลินตัน ประกันสุขภาพ โลกร้อน โลกาภิวัฒน์)

  8. ยุค 2001 เป็นต้นมา (สงครามเย็นครั้งใหม่ สินเชื่อบ้านที่พังทลาย โอบามา ทรัมป์)

เล่มนี้นับถือใจผู้แปล รู้เลยว่าเล่มนี้งานยาก งานหนัก เพราะถึงจะเป็นหนังสือการ์ตูน แต่เนื้อหาจัดเต็ม ข้อมูล ตัวหนังสือเพียบ แปลไม่ง่ายเลย


อย่างไรก็ตาม ต้องบอกไว้ก่อนว่าเล่มนี้เนื้อหาไม่ง่ายนะครับ คนเขียนเขาไม่ได้มาเล่น ๆ ไม่ได้ไว้ให้อ่านเพลิน ๆ เพราะนี่ไม่ใช่หนังสือวิชาเศรษฐศาสตร์ 101 เอาจริง ๆ ผมคิดว่าเล่มนี้คือประวัติศาสตร์โลกยุคใหม่ (เน้นไปที่อเมริกา) โดยเล่าผ่านแว่นตาของการมองภาพเศรษฐกิจ ผู้อ่านจำเป็นต้องมีความรู้ระดับหนึ่งเกี่ยวกับเหตุบ้านการเมืองรอบโลก ผมเองยอมรับว่าเข้าใจเนื้อหาเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ข้อดีก็คือ มันชวนให้เราไปหาหนังสือเล่มอื่น ๆ อ่านเพิ่มเติม


"Econonix เศรษฐกิจ สะกิดสมอง" เขียนโดย Michael Goodwin แปลโดย วิรัตน์ รัตนเวชสิทธิ สำนักพิมพ์ลีฟริช ราคาปก 350 บาท


4.หนังสือชุด "เปลี่ยนชีวิตเจ็ดด้านสู่การเติบโตในพระคริสต์"


หนังสือชุดนี้มี 7 เล่ม ดีมากอยากให้อ่านครับ แต่ออกตัวไว้ก่อน 2 ข้อ หนึ่ง นี่คือหนังสือที่เขียนขึ้นตามคำสอนของศาสนาคริสต์ และสอง ผมไม่ใช่คริสเตียน ดังนั้นการเขียนถึงหนังสือชุดนี้จึงไม่ใช่การเชิญชวน และอาจมีบางส่วนที่ผมเข้าใจคลาดเคลื่อน หากผิดพลาด ต้องขออภัยครับ


ผมพบหนังสือชุดนี้จากการซื้อหนังสือเล่มหนึ่งผ่านช่องทางออนไลน์ แล้วระบบก็แนะนำหนังสือชุดนี้ ผมมาติดใจตรงชื่อหนังสือที่เป็นเหมือนคู่มือการใช้ชีวิตแต่ละด้าน พอเห็นราคาเล่ม 55 บาทเท่านั้น ก็เลยสั่งมาอ่านหนึ่งเล่มก่อน (เลี้ยงดูด้วยรัก) ปรากฏว่าชอบ จึงสั่งมาให้ครบชุดครับ


เมื่ออ่านจบก็พบว่า นี่คือหนังสือที่ดีมาก ๆ จะมองให้เป็นมุมศาสนาก็ได้ (หากคุณเชื่อ) หรือจะมองเป็นหนังสือพัฒนาตนเองก็ได้ เพราะบรรดาหนังสือพัฒนาตัวเองของฝรั่ง ก็ล้วนแต่มีรากฐานมาจากศาสนาคริสต์แทบทั้งสิ้น


หนังสือชุดนี้ใช้ชื่อว่า "เปลี่ยนชีวิตเจ็ดด้านสู่การเติบโตในพระคริสต์" โดย 7 ด้านนั้นได้แก่ จิตวิญญาณ(อยู่ในพระคริสต์) จิตใจ(ตัดสินใจอย่างชาญฉลาด) สังคม(ให้โอกาส-ให้อภัย) ร่างกาย(อิสระทางกาย) การเงิน(ปลดหนี้มีเงินใช้) ชีวิตสมรส(เข้าใจชีวิตคู่) และการเลี้ยงดูบุตร(เลี้ยงดูด้วยรัก)


ถ้าคุณเป็นชาวคริสเตียนอยู่แล้ว ผมคิดว่าหนังสือชุดนี้จะเป็นคู่มือเอาไว้ทบทวนคำสอนได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม หากตัดประเด็นเรื่องคำสอนของศาสนาออกไป หนังสือเล่มนี้ก็ยังมีเนื้อหาที่ดีมาก อ่านแล้วหากนำไปใช้ เราจะกลายเป็นคนที่ดีกว่าเดิมในหลายด้าน หลายประโยคต้องบอกว่าทำให้ผม "ตื่น" มองตัวเอง มองผู้อื่น มองโลกไปในมุมใหม่


ผมขอยกตัวอย่างบางประโยคที่ชอบมาก ปน ๆ กันไปทั้ง 7 เล่มนะครับ

  • โลกใส่ความคิดให้คุณว่า คุณจะพอใจถ้าคุณได้รับหรือได้มีสิ่งเหล่านี้ และเนื้อหนังของคุณก็เชื่ออย่างนั้น... ...ความจริงก็คือ เนื้อหนังของคุณไม่มีวันพึงพอใจแม้ว่าคุณจะมีรูปร่างหน้าตาดี หรือมีสิ่งของมากมายเพียงไร หรือมีความสุขกับความสัมพันธ์ต่าง ๆ

  • สิ่งที่ผู้อื่นทำกับคุณอาจจะผิดอย่างมหันต์ แต่สิ่งที่คุณเลือกจะตอบโต้จะบ่งบอกว่าคุณเองก็กำลังทำผิดด้วยหรือไม่

  • คุณไม่สามารถรักผู้อื่นได้ในขณะที่คุณยังคงตัดสินพวกเขา เมื่อคุณเลือกจะหยุดตัดสินผู้อื่น คุณจะเห็นความผิดของผู้อื่นน้อยลง ...จงจำไว้ว่าคุณเองก็อ่อนแอต่อการล่อลวงแบบเดียวกัน และอาจมีความเย่อหยิ่งแบบเดียวกัน

  • การยกย่องให้เกียรติคู่สมรสของคุณคือการเคารพและรักในทุก ๆ ส่วนที่เป็นตัวเขา (จิตวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย) ซึ่งเป็นการสร้างความอุ่นใจให้กับเขา

  • วิธีการเลี้ยงลูก 4 แบบ 1.ยอมรับมาก สั่งสอนมาก (สัมฤทธิ์ผล ดีที่สุด) 2.ยอมรับมาก สั่งสอนน้อย (ตามใจ ไม่ค่อยดี) 3.ยอมรับน้อย สั่งสอนน้อย (แย่ ปล่อยปละละเลย) 4.ยอมรับน้อย สั่งสอนมาก (บงการ แย่ที่สุด) "เมื่อการยอมรับมาทีหลัง นั่นคือการบงการ เมื่อการยอมรับมาก่อน นี่แหละคือความรัก"


จุดที่ผมคิดว่า "เจ๋งมาก เต็มสิบไม่หัก" ของหนังสือทั้ง 7 เล่มนี้ก็คือ ทีมผู้เขียนสามารถแปลงเนื้อหาในแต่ละเล่มให้เป็น "แผนภาพ" ที่เข้าใจง่าย จำได้ไม่ลืม แผนภาพดังกล่าวมีแค่เส้น วงกลม สามเหลี่ยม กับตัวหนังสืออีกไม่มาก แต่กลับสรุปความทั้งหมดได้ครบถ้วนอย่างเหลือเชื่อ


สรุป ถือเป็นหนังสือที่ผมทึ่งในเนื้อหา ทึ่งในวิธีนำเสนอ หากไม่ขัดกับข้อห้ามที่คุณนับถืออยู่ อยากให้ลองหามาอ่านครับ ดีจริง ๆ ลองซื้อมาอ่านสักเล่มในหัวข้อที่คุณสนใจก่อนก็ได้


หนังสือชุด "เปลี่ยนชีวิตเจ็ดด้านสู่การเติบโตในพระคริสต์" สำนักพิมพ์กนกบรรณสาร ราคาเล่มละ 55 บาท


5.ความสัมพันธ์ (Relation)


ดีที่สุดเล่มหนึ่งตั้งแต่ผมเคยอ่านหนังสือที่ว่าด้วย "ความสัมพันธ์" ผมให้นิยามสั้น ๆ สำหรับเล่มนี้ว่า "หนังสือโคตรไม่โรแมนติก" ที่บอกแบบนี้ก็เพราะประเด็นตั้งต้นของเนื้อหา ผู้เขียนบอกว่า ความเชื่อและค่านิยมต่าง ๆ เกี่ยวกับความรักที่เรายึดถือกันอยู่ตอนนี้นั้น เพิ่งเกิดขึ้นมาเมื่อ 250 ปีก่อน ซึ่งคือ "ยุคโรแมนติก" นั่นเอง โดยมันสืบทอดมาจนถึงยุคปัจจุบัน และยังถูกเล่าขานผ่านเพลง หนัง หนังสือ


ความเชื่อที่ว่านั้นก็อย่างเช่น ความรักคือการใช้ความรู้สึกนำพาหัวใจไป โลกนี้มีคนที่ใช่สำหรับเรา เขารอเราอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง เขาคือคนที่รู้ใจ พอดีกับเราไปเสียทุกอย่าง ไม่ต้องพูดอะไร เขาก็รู้ว่าเรารู้สึกอย่างไร ส่วนเราเองก็ไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตัวเอง เพราะรักแท้คือการที่ใครสักคนยอมรับในแบบที่เราเป็น เขาจะเป็นทุกอย่างให้กับเรา และเราสองคนจะไม่มีความลับต่อกัน


ทั้งหมดนี้ผู้เขียนบอกว่า นี่คือ "หายนะของความรัก" มันทำให้เกิดความคาดหวังที่ไม่มีทางสมหวังได้ง่าย ๆ ทำให้เกิดความกดดัน และชีวิตคู่จะกลายเป็นงานที่ยากลำบาก


วิธีที่ผู้เขียนนำเสนอ ก็คือ ให้แทนที่แบบแผนของลัทธิโรแมนติกด้วยความรักที่มีวุฒิภาวะทางจิตวิทยา เช่น ยอมรับว่าเราและคู่มีข้อบกพร่อง เราไม่มีวันพบทุกอย่างที่ถูกใจในคนอีกคน และเรื่องที่ดูไม่โรแมนติกอย่างเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เรื่องการรีดผ้าและการทำงานบ้าน ก็เป็นเรื่องที่คู่รักต้องตกลงกันให้ชัดเจน


ผมชอบที่หนังสือเล่มนี้เขียนสั้น กระชับ แบ่งเป็นบทสั้น 20 บท บทนึงไม่ถึง 10 หน้า ทั้งเล่มหนา 160 หน้า เล่มเล็กมาก แต่กลับครอบคลุมประเด็นที่น่าสนใจไว้มากมาย จนผมแทบจะขีดไฮไลท์ทุกบรรทัด ที่สำคัญภาษาตลกเสียดสีอย่างร้ายกาจ เนื้อหาผสมผสานปรัชญาและจิตวิทยาไว้ได้อย่างลงตัว (แต่บางบทอ่านยากสักนิด เพราะรูปประโยคซับซ้อนตามสไตล์ภาษาอังกฤษ และผู้แปลก็อยากคงโครงสร้างภาษาแบบนี้ไว้)


ขอยกตัวอย่างบางประโยคที่ผมชอบมาก ดังนี้

  • เราผิดพลาดที่คิดไปเองว่าเรารู้วิธีที่จะรักมาตั้งแต่ลืมตาดูโลก การจัดการความสัมพันธ์น่าจะเป็นเรื่องง่าย ๆ ตามสัญชาตญาณ แต่ความรักเป็นทักษะที่ต้องเรียนรู้มากกว่าจะเป็นอารมณ์ที่รู้สึก

  • ไม่มีคู่ครองในอุดมคติสำหรับเราอย่างแน่นอน อะไรก็ตามที่เราชอบมาก ๆ ในตัวใครสักคน จะทำให้เขาน่าหงุดหงิดรำคาญใจในแง่อื่น ๆ ด้วย เราอาจหันไปหาคนใหม่ที่น่ารัก ทว่าความน่ารักของเขาก็จะพ่วงความด่างพร้อยมาด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

  • เวลาคนรักของเราทำตัวเลวร้าย สิ่งที่เขาไม่ได้พูดแต่สมควรที่จะพูดก็คือ ลึก ๆ แล้วฉันยังเป็นเด็กทารกอยู่ และในตอนนี้ฉันอยากให้คุณเป็นพ่อแม่ของฉัน ฉันอยากให้คุณเดาให้ถูกว่าจริง ๆ แล้วฉันกำลังทรมานกับเรื่องอะไรกันแน่ เหมือนที่ผู้คนทำกับฉันสมัยที่ยังเป็นเด็ก ในตอนที่ความคิดเรื่องความรักของฉันเพิ่งจะเริ่มก่อตัวขึ้น

  • เมื่อคนมีสติปัญญาและคนอารมณ์อ่อนไหวมามีความสัมพันธ์กัน พวกเขามักจะตระหนักถึงเรื่องการใช้เวลาร่วมกัน (และเรื่องอื่น ๆ ที่สำคัญ) แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ค่อยได้ใคร่ครวญมากนักถึงคำถามที่ว่า แล้วใครจะเป็นคนรีดผ้า?

จริง ๆ หนังสือเล่มนี้ออกมาได้ 3 ปีแล้ว และเป็นหนึ่งในซีรีส์ The School of Life ซึ่งฉบับภาษาอังกฤษนั้นค่อนข้างโด่งดัง เป็นที่พูดถึง น่าเสียดายที่พอเป็นฉบับไทยกลับเงียบหายขายไม่น่าจะดี (ในชุดที่แปลไทยมี 5 เล่ม) ทั้งที่ทีมงานไทยก็ระดับแถวหน้า (ผู้จัดการโครงการโดย ปราบดา หยุ่น) ถ้าให้ผมเดา สาเหตุคงเพราะหน้าปกที่เรียบง่ายเกินไป ไม่มีคำอธิบายใด ๆ ที่จะดึงดูดให้เปิดอ่าน แถมยังเล่มเล็ก กระดาษธรรมดา คล้ายหนังสือที่อ่านจบแล้วทิ้งไว้ตามโรงแรมได้เลย ซึ่งต่างกับฉบับอังกฤษที่ทำปกแข็งอย่างดี ดูน่าสะสม (แต่ก็เข้าใจครับว่าแบบนั้นต้นทุนคงแพง และตั้งใจทำปกให้เรียบง่ายเหมือนหนังสือต้นฉบับ)


ไม่เกินไปถ้าจะบอกว่านี่คือหนึ่งในหนังสือที่ underrated หรือถูกให้คุณค่าต่ำกว่าความเป็นจริง ผมแนะนำให้หามาอ่านแบบสุด ๆ ครับ อาจหายากหน่อย เพราะออกมานานแล้ว


"ความสัมพันธ์" เขียนโดย The School of Life สำนักพิมพ์ B2S ราคาปก 215 บาท


6.โปรดโอบกอดมนุษย์ลูก


หนังสือเหมาะสำหรับคนที่มีลูก คนที่คิดจะมีลูก หรือแม้แต่คนที่ไม่มีลูก แต่อยากย้อนเวลากลับไปว่าเรานั้นผ่านอะไรมาบ้างจึงมาเป็นเราในวันนี้ เขียนโดยนักเขียนรางวัลซีไรต์ 2 สมัย "วีรพร นิติประภา" หากใครเคยอ่านงานของนักเขียนท่านนี้ ย่อมรู้ดีว่านี่ต้องไม่ใช่หนังสือหวานแหววในแนวรักลูก แม่และเด็ก อะไรทำนองนั้น ทัศนะแม่ในแบบวีรพร...ต้องไม่ธรรมดา


ที่มาของหนังสือเล่มนี้น่าสนใจมากครับ ผู้เขียนเล่าว่าเธอจัดเวิร์คช็อปสอนเขียนมาเนิ่นนาน ช่วงหนึ่งของการสอน ผู้เรียนจะต้องผลัดกันเล่าถึงเรื่องที่ทำให้ตัวเองไม่มีความสุข ทุกข์ โกรธ เศร้า ปรากฏว่าเกือบทั้งหมดต่างเล่าถึงเรื่องความเจ็บปวดที่เกิดจาก "การกระทำของพ่อแม่" นั่นคือการเลี้ยงดูในวัยเด็กที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง ความกดดันจากพ่อแม่ จนคนเป็นลูกรู้สึกเครียด รู้สึกผิด ผิดที่ทำไม่ได้ตามความคาดหวัง และรู้สึกผิดเมื่อคิดได้ว่าตนเองกำลังรู้สึกไม่อยากรักพ่อแม่แล้ว ...เรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้จบไว้เพียงในวัยเด็ก แต่ยังตามติดมาจนแม้เด็กคนนั้นจะกลายเป็นผู้ใหญ่ ความรู้สึกหนักอึ้งนั้นก็ยังคงไม่หายไป


ผู้เขียนบอกว่าสาเหตุที่ความสัมพันธ์อันงดงามกลายเป็นความเจ็บปวด ความหวังดีกลับกลายเป็นทำร้ายกัน อยู่คนละฟากจักรวาลทั้งที่นั่งอยู่ข้างกัน สาเหตุนั้นก็เพราะเด็กไม่ได้ถูกพ่อแม่เลี้ยงดูในฐานะ "มนุษย์คนหนึ่ง" ที่มีชีวิตจิตใจเป็นของตนเอง แต่ถูกเลี้ยงดูในฐานะ "ลูก" ที่มีหน้าที่และบทบาทกำหนดไว้แล้ว ไม่อาจมีความคิดของตัวเอง แค่ทำตามที่พ่อแม่บอกก็พอ


นั่นจึงเป็นที่มาของหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนบอกว่าเธออยากให้คนเป็นพ่อแม่ได้เห็นรายละเอียดระหว่างเส้นทางการเลี้ยงลูก มีจุดไหนบ้างที่เราอาจเผลอทำร้ายลูกโดยไม่ตั้งใจ ไม่ทันคิด จุดไหนเปราะบางสำหรับเด็กซึ่งคนเป็นพ่อแม่ต้องระวัง ในเล่มเธอจึงเขียนถึงทัศนะการเลี้ยงลูกในแบบของเธอ ว่ากันตั้งแต่วัยเด็กเล็กไปจนถึงวัยที่ลูกโตพอที่จะไปมีชีวิตของตัวเอง


ตัวอย่างบางประโยคที่ผมชอบ (ตัดต่อเพื่อความกระชับ)

  • ใช้เวลาอยู่กับลูกให้มาก ๆ ถ้าทำได้...อย่าเพิ่งห่วงงาน หรือความเป็นส่วนตัว ในไม่ช้าโลกทั้งบานจะพรากเขาไป และจะมีวันที่ลูกไม่มีที่ทางในชีวิตและเวลามากนักให้คุณได้ร่วมแบ่งปัน

  • อย่ามองปัญหาของลูกเป็นเรื่องเล็กน้อย เพียงเพราะคุณมีเรื่องใหญ่กว่า สำคัญกว่า มีมูลค่ามากกว่าต้องทำ โปรดตระหนักว่าปัญหาเล็ก ๆ ของเด็ก ๆ ร้ายแรงได้เท่ากับปัญหาใหญ่ ๆ ที่เกิดกับคนโต ๆ

  • ถ้าคุณฝึกสอนลูกให้เป็นคนว่านอนสอนง่าย เขาจะต้องการการชี้นำตลอดเวลา เขาจะไม่คิด และในที่สุด...คิดเองไม่ได้ ลูกจะไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรแน่ และอาจเฉยชาไม่ต้องการอะไรเลยสักอย่าง นอกจากรอคอยโชคชะตา

  • หน้าที่เดียวของพ่อแม่คือช่วยลูกค้นหาศักยภาพ ไม่ใช่การคิดวางแผนว่าลูกจะต้องทำอะไร คิดอะไร คนคนหนึ่งมีศักยภาพได้หลายด้าน อย่าหยุดค้นหาความเป็นไปได้ของลูก คนไม่จำเป็นต้องเรียนเก่งมีความสามารถด้านวิชาการ โลกเต็มไปด้วยความเป็นไปได้มากมาย การปล่อยให้ลูกค้นหาความสามารถรอบด้าน และความชอบจะช่วยให้เขามีชีวิตที่น่าตื่นใจ

  • คุณเป็นคนสอนให้เขาพูด...คุณต้องฟังเขา ถ้าคุณไม่ยอมฟัง ก็อย่าสอนเขาพูดตั้งแต่ต้น คุณเป็นคนสอนให้เขาเดิน คุณต้องปล่อยให้เขาเดินไปตามทางที่เขาต้องการ

  • อย่าให้ลูกรู้สึกว่าพ่อแม่คาดหวัง โปรดเข้าใจว่าทุกคนทำดีที่สุดเสมอ คนที่แบกรับความคาดหวังของพ่อแม่จะคาดหวังตัวเองสูงตามไปด้วย เขาจะไม่ผ่อนคลาย เคร่งเครียดกับคนอื่นและตัวเอง และเป็นคนไม่มีความสุข

  • คำพูดของพ่อแม่สร้างสรรค์และกรีดบาดได้มากกว่าคำพูดของใครในโลก คำพูดผ่านปากออกไปแล้วเอาคืนกลับมาไม่ได้ มันจะติดอยู่ในใจของลูกไปตลอด อย่าคิดว่าคนเป็นพ่อแม่พูดอะไรก็ได้ โปรดเข้าใจว่าหลายสิ่งหลายอย่างยิ่งคนเป็นพ่อเป็นแม่ยิ่งพูดไม่ได้ คำพูดของคุณอาจทำให้ลูกกลายเป็นคนสำคัญแห่งยุคสมัย ได้มากพอ ๆ กับทำลายล้างเขาไม่เลิกราไปจนวันสุดท้าย

  • -สมมติว่าคุณรู้ว่าจะต้องเสียลูกของคุณไปในตอนเขาอายุสิบห้า ถ้าคุณรู้ว่าลูกมีเวลาน้อยแสนน้อย คุณจะปล่อยให้เขาได้สนุกสนาน ทำอะไรไร้สาระบ้า ๆ บอ ๆ ใช้ชีวิตโดยไม่ต้องรองรับความกดดันไม่ว่าจะของคุณ ของสังคม หรือคุณธรรมความเชื่ออะไรเลยทั้งนั้นไหม คุณจะเลิกบ่น เลิกว่า เลิกทำเขาเสียนำ้ตาหรือเปล่า คุณจะตระหนักไหมว่าในการเป็นพ่อแม่ ...จริงแท้แล้วคุณไม่ได้ต้องการอะไรเลย นอกจากเห็นลูกมีความสุข

ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วยความรู้สึกฟินและอินเป็นพิเศษ "ฟิน" เพราะผมเป็นแฟนหนังสือของคุณแหม่ม วีรพร ชอบทุกเล่ม และทึ่งที่เธอเขียนหนังสือ 4 เล่ม 4 แนว คือ เรื่องสั้น นิยาย วรรณกรรมเด็ก และเล่มนี้ความเรียง ที่อ่านแล้วเหมือนได้โบนัสคือ ได้อ่านหนังสือคู่มือเลี้ยงลูกที่ภาษาสวยงาม ไม่แห้งแล้งเหมือนหนังสือในแนว ๆ นี้ ...ส่วน "อิน" นั้นเพราะผมเองก็มีปมพ่อแม่ (...ว่าแต่ใครบ้างไม่มี?) พอวันนี้เป็นพ่อคน มีลูกสาว 2 คนก็ตั้งใจว่าจะเลี้ยงพวกเธอให้ดีที่สุด ทั้งที่รู้ว่ามันไม่ง่าย วัยเด็กนั้นเปราะบางจนพ่อแม่อาจสร้างบาดแผลให้ลูกโดยไม่รู้ตัว


บางประโยค บางทัศนะ บางคนอ่านแล้วอาจไม่เห็นด้วย ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะคำตอบที่ถูกต้องของการเลี้ยงลูกนั้นไม่มี แต่ทัศนะของคุณวีรพรนับว่าน่าฟัง เตือนใจคนเป็นพ่อแม่ได้ดีมากครับ อยากให้อ่านหนังสือเล่มนี้จริง ๆ เนื้อหาดี ภาพประกอบสวยมาก


"โปรดโอบกอดมนุษย์ลูก" เขียนโดย วีรพร นิติประภา สำนักพิมพ์ SandClock Books ราคาปก 240 บาท


7.จิตวิทยาการลงทุน (The Psychology of Investing)


สนุกมาก อ่านแล้วได้ย้อนมองดูพฤติกรรมตัวเอง ทำไมมันตรงกับที่เขาเขียนไว้ได้ขนาดนี้? ใครไม่ได้ลงทุนก็อ่านได้ครับ (ไม่มีกราฟหรือศัพท์เทคนิคหุ้น) แต่จะอินมากกว่า ถ้าคุณเล่นหุ้นมาสักระยะ เคยเจ็บมาเยอะ เจอะมาแยะ ติดดอย ตกรถ ขายหมู ถัวขาลง กำไรนิดหน่อยขาย แต่ทนขาดทุนได้นาน ว่าจะเล่นสั้นเก็งกำไร แต่พอขาดทุน ก็เปลี่ยนเป็นนักลงทุนยาว ถ้าใครเคยมีอาการแบบนี้ เล่มนี้จะเขกกะโหลกเรียกสติเรากลับมา


ผู้เขียนเขาบอกว่า หนังสือเล่มนี้เขาโยงเรื่องจิตวิทยาเข้ากับการลงทุน เพราะสมองคนเรานั้นไม่ได้ทำงานแบบคอมพิวเตอร์ (หมายถึงเป็นเหตุเป็นผล) ในทางกลับกัน บ่อยครั้งเลยที่สมองทำงานผ่านการใช้ทางลัดและอารมณ์เพื่อย่นระยะเวลาการวิเคราะห์ ซึ่งเมื่อใดที่อารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง การตัดสินใจแบบมีอคติก็ย่อมเกิดขึ้น หนังสือเล่มนี้ก็เลยแสดงให้เห็นว่าอคติทางความคิด ความผิดพลาดทางความคิด และอารมณ์นั้นมีผลอย่างไรกับการตัดสินใจของนักลงทุน


มีหลายประโยคที่ผมชอบมาก ๆ อ่านไปก็รู้สึกว่าใช่เลย ฉันน่ะสิ ฉันน่ะสิ ขอยกมาบางประโยคครับ (ตัดต่อและปรับคำเพื่อความกระชับ)

  • หากการตัดสินใจหนึ่งมีผลลัพธ์ที่ดี ความดีความชอบจะตกอยู่ที่ทักษะและความสามารถ หากการตัดสินใจนั้นได้ผลลัพธ์ออกมาไม่สู้ดีนัก โชคลางจะตกเป็นจำเลย ยิ่งคนเราได้รับความสำเร็จมากเท่าไหร่ ทักษะและความสามารถของพวกเขาจะได้รับความดีความชอบไปเท่านั้น แม้ว่าโชคลางจะมีส่วนอยู่มากก็ตาม "จงอย่าสับสนระหว่างความฉลาดและตลาดในภาวะกระทิง"

  • ความกลัวผิดหวังและการมองหาความภูมิใจ ส่งผลให้นักลงทุนมีแนวโน้มขายหุ้นที่ดีเร็วเกินไป และยึดอยู่กับหุ้นที่ไม่ดีนานเกินไป หากซื้อหุ้นที่ปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว เราจะมีแนวโน้มขายออกอย่างรวดเร็วด้วย หากซื้อหุ้นที่ปรับตัวลดลงหรือไม่เปลี่ยนแปลง เราจะมีแนวโน้มถือเพื่อรอให้มันขึ้น ดังนั้นหุ้นที่ถือในช่วงเวลาอันสั้น ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นดี ส่วนหุ้นที่ถือนานกว่า โดยมากจะเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนน้อยกว่า

  • นักลงทุนที่รู้สึกยินดีกับผลลัพธ์ของการเทรด จะอยากได้รับความยินดีแบบเดียวกันอีกครั้ง และเลือกทำเช่นนั้นผ่านการซื้อหุ้นตัวเดิม ส่วนความรู้สึกไม่ดีจากการเทรด จะถูกหลีกเลี่ยงในอนาคต ดังนั้นหุ้นที่จะทำให้หวนนึกถึงความเศร้า จะไม่ถูกซื้อกลับ เวลาที่ขายหุ้นตัวนึงไปแบบขาดทุน อารมณ์ความเศร้านั้นเจ็บปวดมากพอที่จะทำให้ปราศจากความสนใจที่จะซื้อหุ้นตัวดังกล่าวอีก

  • เพื่อหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดทางความคิด คนเรามักเลือกมองข้าม ปฏิเสธหรือปรับลดข้อมูลที่ย้อนแย้งต่อภาพพจน์ที่ดีของตนเอง ความเชื่อของคนนั้นเปลี่ยนแปลงได้เพื่อให้สอดคล้องต่อการตัดสินใจในอดีต เราต้องการรู้สึกว่าได้ตัดสินใจอย่างถูกต้อง เรามองตัวเองเป็นนักลงทุนที่ดี ดังนั้นความทรงจำเกี่ยวกับการลงทุนในอดีตจะถูกปรับให้เข้าหาภาพพจน์ที่ดีของตัวเอง เราจะจำได้ว่าที่ผ่านมาฉันทำได้ดี ไม่ว่าผลการดำเนินการที่แท้จริงจะเป็นเช่นไร

  • อุปทานหมู่ของนักลงทุนนั้นไม่ได้ต่างไปจากละมั่งซึ่งอยู่รวมกันเป็นหมู่ เพื่อป้องกันภัยจากนักล่า นาทีนึง กลุ่มละมั่งอาจไม่ทำอะไรเลย แต่นาทีถัดมา พวกมันอาจพากันกระโดดสุดตัว นักลงทุนที่มีการเทรดบ่อยจะมีการตรวจสอบพอร์ตทุกวัน ดังนั้นเมื่อมีบางสิ่งเริ่มเคลื่อนไหว นักลงทุนจากทุกหนแห่งก็จะรู้ (และตัดสินใจเหมือนกัน) ปัญหาของการทำตามคนหมู่มากก็คือ มันเป็นการเร่งขยายผลของอคติทางความคิด มันทำให้คนคนนึงตัดสินใจบนพื้นฐานความรู้สึกของกลุ่ม แทนที่จะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างจริงจัง

  • ความทุกข์นั้นชอบมีคนเป็นเพื่อน ความรู้สึกผิดหวังจากการเลือกหุ้นผิดนั้นจะน้อยลง เมื่อเรารู้ว่ามีคนอีกมากที่เลือกผิดแบบเดียวกัน

แนะนำเลยครับ เล่มนี้มีประโยชน์มาก จะมีข้อตินิดนึงก็คือการแปลภาษาอ่านแล้วเก้งก้างไปหน่อย คำแบบอังกฤษ ๆ เช่น สามารถ/ที่จะ/มันทำให้ มีอยู่เยอะ เวลาอ่านก็เลยไม่ราบรื่นเท่าไร แต่โดยรวมถือว่าคุ้มค่าน่าอ่านครับ


"จิตวิทยาการลงทุน (The Psychology of Investing)" เขียนโดย John R. Nofsinger แปลโดย พิริยะ พาณิชย์ชะวงศ์ สำนักพิมพ์ FP Edition ราคาปก 258 บาท


8.The Righteous Mind (ความถูกต้องอยู่ข้างใคร)


อ่านแล้วเปิดโลกความคิด ผมจัดเข้าลิสต์ my favourite books of all time เรียบร้อย และจะต้องติดอยู่ในหนังสือที่ผมชอบที่สุดปีนี้อย่างแน่นอน เล่มหนาสาระหนักสไตล์ brainy book แต่รับรองว่าคุ้มค่ากับเวลาและพลังสมองที่ใช้ไป (ต้องขอบคุณผู้แปลคือ พี่อ๋อง วุฒิชัย กฤษณะประกรกิจ ที่แปลดีมาก ๆ ผมรู้เลยว่าถ้าอ่านฉบับอังกฤษ ผมคงไม่รอด เพราะต้องใช้ความรู้หลายแขนง)


ต้นฉบับภาษาอังกฤษเขียนขึ้นในปี 2012 แต่เนื้อหายังทันสมัยใช้ได้กับสถานการณ์ปัจจุบัน (และน่าจะในอนาคตด้วย) แค่คำโปรยของหนังสือก็น่าสนใจแล้วครับ "ทำไมคนดีจึงแตกแยกกันด้วยเรื่องการเมืองและศาสนา" เป็นคำถามที่น่าคิดและหนังสือเล่มนี้ตอบคำถามได้อย่างน่าสนใจในแง่มุมของ "รากฐานศีลธรรม" ที่แต่ละฝ่ายมีกว้างขวางแตกต่างกัน


เล่าแบบสั้น ๆ เท่าที่ผมเข้าใจ (เพราะเนื้อหาแน่นมาก และบางส่วนผมยังต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ) ผู้เขียนค่อย ๆ พาเราไปค้นหาจุดกำเนิดของศีลธรรม (Morality) ว่าคนเราได้ศีลธรรมมาจากไหน ทำไมเรารู้สึกว่าสิ่งนี้ไม่ถูกต้องไม่สมควรทำ คำตอบนั้นน่าทึ่งมากครับเพราะดูเหมือนว่าคนเราจะมี "ความรู้สึกลึก ๆ" ตามสัญชาตญาณว่าสิ่งนั้นนี้ไม่ควรทำ (แน่นอนว่าบวกกับประสบการณ์เพิ่มเติมและวัฒนธรรมด้วย) จากนั้นจึงค่อยหาเหตุผลมาสนับสนุนความรู้สึกตัวเอง ซึ่งหลายครั้งก็เป็นเหตุผลที่ไม่สมเหตุสมผล (เรียกว่า "แถ" ก็พอได้) ทั้งหมดนี้เพียงเพื่อให้รู้สึกว่าฉันนั้นมี The Righteous Mind หรือที่ฉบับภาษาไทยใช้คำว่า "ใจถือดี" (ในความหมายว่าใจเรามีทั้งศีลธรรม มีทั้งการวิจารณ์ และการตัดสิน)


จากจุดกำเนิดศีลธรรม ผู้เขียนพาลงลึกไปอีกว่า จริง ๆ แล้วศีลธรรมนั้นมีรากฐาน (Foundation) อยู่ 6 อย่างที่ต่างกัน มันเป็นเหมือนระบบที่เรามีติดตัวมาก่อนมีประสบการณ์ชีวิตเสียอีก ศีลธรรมเหล่านี้ค่อย ๆ ได้รับการปรับปรุงตอนที่เราเป็นเด็ก และทำให้แต่ละคนมีศีลธรรมที่หลายหลากแตกต่างกัน (ประมาณว่ายึดถือคุณค่าไม่เหมือนกัน อันนี้ผมตีความเอง) โดยรากฐานศีลธรรมทั้ง 6 อย่างได้แก่ การดูแล เสรีภาพ ความเป็นธรรม ความภักดี อำนาจ ความศักดิ์สิทธิ์


ผมเชื่อว่าเพียงอ่านชื่อรากฐานศีลธรรมทั้ง 6 นี้คงยังไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร ต้องไปอ่านเองครับ ผมเล่าได้แต่เพียงว่ารากฐานศีลธรรมทั้ง 6 อย่างนี้ ถ้าแบ่งแค่ 2 ขั้วคือ "เสรีนิยม" กับ "อนุรักษ์นิยม" ทั้งสองขั้วนี้จะให้น้ำหนักกับรากฐานศีลธรรมที่แตกต่างกัน (หรืออาจพูดได้ว่าใช้ไม้บรรทัดคนละอัน) จึงทำให้ใจ "ถือดี" แตกต่างกัน


จริง ๆ เนื้อหายังมีส่วนที่สามอีก ว่าด้วยเรื่องคนเรานั้นแปลก เราไม่ได้เห็นแก่ตัวตลอดเวลา แต่เราเห็นแก่กลุ่มได้ด้วย (แม้ว่าต้องเสียสละประโยชน์ส่วนตัวก็ตาม) จุดนี้ผู้เขียนอธิบายด้วยความรู้ในหลายแขนง ซึ่งคงจะยาวเกินไปที่ผมจะเขียนถึง แต่โดยรวมผมชอบวิธีที่ผู้เขียนเขียน เขารู้ว่าเนื้อหามันยาก เขาจึงประคองคนอ่านไปตลอดทาง ตั้งแต่เกริ่นนำว่าจะพูดอะไร พูดสักพักก็บอกว่ากำลังอยู่ตรงไหน พอพูดจบก็สรุปให้ฟังอีกที เป็นอย่างนี้ไปตลอดเล่ม เจ๋งมาก


เขียนมายืดยาว แต่ผมก็ยังรู้สึกผิดที่อธิบายถึงความดีงามของหนังสือเล่มนี้ได้ไม่ดีพอ เอาเป็นว่าอยากให้ลองหามาอ่านกันครับ แม้ว่าผู้เขียนจะยกตัวอย่างการเมืองอเมริกาเป็นหลัก แต่ก็ทำให้เห็นภาพรวมของมนุษย์ว่าเรายึดถือศีลธรรมอะไรกันอยู่ แตกต่างกันอย่างไร น้ำหนักเทไปทางไหน และเราจะอยู่ร่วมกันอย่างไร


ผมชอบย่อหน้าสุดท้ายของเล่มนี้ เขาเขียนไว้อย่างนี้ครับ "ในครั้งต่อไปที่พบว่าตนเองกำลังนั่งอยู่ข้างใครบางคนที่มาจากอีกเมทริกซ์หนึ่ง อย่าเพิ่งกระโจนเข้าสู่เมทริกซ์ของคุณ และอย่าเพิ่งหยิบยกศีลธรรมของคุณขึ้นมาจนกว่าคุณจะได้พบว่ามีหลายจุดที่เราร่วมกัน ...เราติดอยู่ตรงนี้กันมาสักพักใหญ่ ๆ แล้ว เรามาลองหาทางออกร่วมกันเถอะ


"The Righteous Mind ความถูกต้องอยู่ข้างใคร" เขียนโดย Jonathan Haidt แปลโดย วุฒิชัย กฤษณะประกรกิจ สำนักพิมพ์ Be(ing) ราคาปก 439 บาท


9.Tiny Habits (เปลี่ยนน้อยนิด เพื่อพิชิตทุกเป้าหมาย)


"หนังสือเล่มหนา ๆ" ว่าด้วยการสร้าง "นิสัยเล็ก ๆ" เขียนโดย BJ Fogg เนื้อหาในเล่มก็ตามชื่อเลยครับ ว่าด้วยวิธีการสร้างนิสัยใหม่ ๆ (หรือกำจัดนิสัยเก่า ๆ ที่เราไม่ต้องการ) โดยเริ่มจากนิสัยเล็ก ๆ ทำง่าย ๆ ทำได้ประจำ แล้วความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ นี้จะค่อย ๆ นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ขึ้น


สิ่งที่ผมชอบที่สุดเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ก็คือ คนเขียนมีวิธีคิดวิธีเขียนที่เป็นระบบระเบียบมาก เขาอธิบายพฤติกรรมของมนุษย์ด้วยกราฟ ตาราง โฟลว์ชาร์ต รูปภาพ มีสรุปท้ายทุกบท มีภาคผนวกที่สาระแน่นมาก พูดง่าย ๆ ว่าเขาทำสิ่งที่ดูเหมือนเป็นเรื่องนามธรรมอย่างกำลังใจ แรงบันดาลใจ ให้ออกมาในรูปของทฤษฎีที่จับต้องได้ เป็นรูปธรรม เข้าใจง่าย ทำตามได้จริง


สมแล้วที่ผู้เขียนเป็น Behavior Scientist อยู่ที่ Standford และทำวิจัยเรื่องพฤติกรรมมนุษย์มากว่า 20 ปี อ่านเล่มนี้แล้วจึงไม่ต่างกับการลงคอร์สว่าด้วยการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ครับ จริงจังมาก


หัวใจของเล่มนี้ ผู้เขียนเขาบอกว่า พฤติกรรมของคนเราเกิดขึ้นจากองค์ประกอบ 3 อย่างมาบรรจบกัน ได้แก่ แรงจูงใจ ความสามารถ และสัญญาณ หรือพูดอีกแบบก็คือ เราทำพฤติกรรมนั้น ๆ เพราะมีความต้องการบางอย่าง เรามีความสามารถทำมันได้จริง และเราก็ถูกกระตุ้นให้ทำสิ่งนั้น ๆ ถ้าขาดสิ่งใดสิ่งนึงไป พฤติกรรมก็อาจไม่เกิดขึ้น เช่น อยาก แต่ไม่มีความสามารถ / มีความสามารถ แต่ไม่อยาก / อยากนะ มีความสามารถอยู่นะ แต่ไม่มีอะไรมากระตุ้นให้ลงมือทำ


เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากสร้างนิสัยหรือพฤติกรรมใหม่ ๆ ก็จะต้องรู้จักจัดการกับ 3 องค์ประกอบนี้ โดยวิธีที่เขานำเสนอไว้ในเล่มก็คือ ให้เริ่มจากนิสัยเล็ก ๆ พฤติกรรมง่าย ๆ และแทรกเข้าไปหลังกิจวัตรประจำวันของเรา สมมติว่าถ้าอยากออกกำลังกาย ก็อย่าเพิ่งเล่นใหญ่จัดเต็ม ให้เริ่มจากเล็ก ๆ ก่อน เช่น หลังจากฉี่เสร็จ ออกมาจากห้องน้ำ ฉันจะวิดพื้น 2 ที จากนั้นให้ฉลองชัยชนะเล็ก ๆ นี้เพื่อให้นิสัยใหม่ติดทนนานในสมอง เช่น ตบมือหนึ่งที ร้องเยส หรืออะไรก็ได้ ...นิสัยวิดพื้น 2 ทีนี้เองที่จะค่อย ๆ นำไปสู่การออกกำลังที่จริงจังขึ้น และนำไปสู่นิสัยดี ๆ ด้านอื่น ๆ ได้ด้วย


หนังสือมีรายละเอียดมากกว่าที่ผมเขียนไว้อีกเยอะครับ เขาเล่าเคสต่าง ๆ ของคนที่เคยมาเรียนกับเขา รวมถึงภาคผนวกก็มีเทคนิคเด็ด ๆ อีกเยอะ เช่น 100 วิธีฉลองให้กับชัยชนะเล็ก ๆ ของเรา สูตรสร้างนิสัยเล็ก ๆ สำหรับการนอน การทำงาน การลดความเครียด การสร้างสัมพันธ์ที่ดี


"Tiny Habits เปลี่ยนน้อยนิด เพื่อพิชิตทุกเป้าหมาย" เขียนโดย BJ Fogg แปลโดย พอหทัย อภิรัชฎาพร สำนักพิมพ์อมรินทร์ ราคาปก 395 บาท


10.The Basic Laws of Human Stupidity (โง่ศาสตร์)


หนังสือเล่มบางมาก ตัวเนื้อหาจริง ๆ แค่ 50 หน้าเท่านั้น เข้มข้น มีสาระ จริงจัง แต่อ่านแล้วต้องหัวเราะให้กับความตลกร้าย (ย้ำอีกทีว่าเขียนแบบจริงจัง คนเขียนเป็นศาสตราจารย์)


The Basic Laws of Human Stupidity เป็นความเรียงที่เขียนขึ้นตั้งแต่ปี 1976 ตอนนั้นผู้เขียนพิมพ์ออกมาแค่ 100 เล่มแล้วแจกจ่ายในวงเพื่อนฝูง แต่กลายเป็นว่าหลายปีต่อมามีคนติดต่อขอไปพิมพ์และกลายเป็นหนังสือขายดีในหลายประเทศ ซึ่งก็มีคนถกเถียงกันไม่รู้จบว่าตกลงหนังสือเล่มนี้มีสาระหรือไร้สาระ คนเขียนจริงจังหรือแค่ตลกร้ายกันแน่?


ผู้เขียนเปิดประเด็นด้วยการบอกว่า สิ่งมีชีวิตทั้งหลายล้วนมีทุกข์ให้แบกกันทั้งนั้น แต่มนุษย์เรานั้นมีภาระเพิ่มเป็นพิเศษอีกอย่างคือ มีคนโง่ที่ทำให้คนอื่นเสียหายเดือดร้อน (และตนเองก็ไม่ได้รับประโยชน์ แถมยังเดือดร้อนตามไปด้วย)


จากนั้นก็บอกว่ามีกฏพื้นฐานอยู่ 5 ข้อเกี่ยวกับคนโง่ ได้แก่ คนโง่คือคนที่สร้างความเสียหายให้คนอื่น โดยตัวเองไม่ได้ประโยชน์, เราประเมินจำนวนคนโง่ที่มีอยู่ในสังคมน้อยเกินไป, โอกาสที่ใครสักคนจะเป็นคนโง่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับลักษณะของเขาคนนั้นเลย (เพศ ประเทศ​ อาชีพ หรือชนชั้นก็ไม่เกี่ยว), คนไม่โง่ประเมินอำนาจการทำลายล้างของคนโง่ต่ำเกินไป และสุดท้าย คนโง่นั้นอันตรายที่สุด


ฟังดูเหมือนดูถูกเหยียดหยามกล่าวหาคนโง่ แต่อย่าเพิ่งด่วนตัดสินครับ ลองหามาอ่านก่อน ผมชอบวิธีการอธิบายของเขา มีการแบ่งประเภทคนด้วยแกน X แกน Y ออกเป็น 4 กลุ่ม มีการแจกแจงความถี่ที่ทำให้ซอยย่อยประเภทของผู้คนได้ละเอียดขึ้น เรียกว่าเนื้อหามีส่วนผสมทั้งคณิตศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ปรัชญา สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ซึ่งทั้งหมดนี้เขียนในรูปแบบสั้น เข้าใจง่าย ไม่มีศัพท์แสงให้ยุ่งยาก และมีอารมณ์ขันอย่างร้ายกาจจนผมอดหัวเราะไม่ได้ (ที่ชอบอีกอย่างคือศิลปกรรมของเล่มนี้ ภาพประกอบเรียบง่าย แต่คิดมาอย่างดี)


"โง่ศาสตร์" เขียนโดย Carlo M.Cipolla แปลโดย สุนันทา วรรณสินธ์ สำนักพิมพ์ Bookscape ราคาปก 165 บาท


11.The Power of Bad ชนะพลังลบ


หนึ่งในหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับ "อคติการคิดลบ" ที่ดีที่สุดเล่มหนึ่งที่ผมเคยอ่าน เสียดายที่ปกไม่ค่อยดึงดูด (ปกต้นฉบับ ก็ประมาณนี้) เลยทำให้หลายคนมองข้ามไป แต่ส่วนตัวผมยกให้เป็นหนึ่งในเล่มที่ชอบที่สุดในปีนี้ เขียนโดย John Tierney และ Roy Baumeister คนแรกคือนักเขียน คนหลังคือนักจิตวิทยา สองคนนี้เคยร่วมกันเขียนหนังสือระดับตำนานมาแล้ว นั่นคือหนังสือที่ชื่อ Willpower


ส่วนเนื้อหาในเล่มนี้ เขาพูดถึงประเด็นที่ว่า ความไม่ดี (Bad) นั่นทรงพลังกว่าความดี (Good) ในความหมายว่าเรื่องร้าย ๆ ลบ ๆ นั้น แพร่กระจายเร็วกว่า เป็นที่สนใจกว่า เป็นสัญชาตญาณของคนเรามากกว่า ดังนั้นมันจึงส่งผลกระทบกับเรามากกว่าเรื่องดี ๆ สิ่งดี ๆ


ในหลายครั้งจึงทำให้เราตัดสินใจไม่สมเหตุสมผล (มองแง่ร้ายไป ก็ไม่ลงมือทำอะไรเลย) แต่ก็แน่นอนว่า Bad ก็มีความ Good ในแบบของมัน (มองแง่ดีไป ก็ไม่ระวังตัวเลย) ปัญหาจึงอยู่ที่เราจะรู้เท่าทันได้อย่างไร จะใช้ประโยชน์จากเรื่องลบ ๆ ได้อย่างไร หนังสือเล่มนี้จะบอกวิธีครับ


ผมชอบที่หนังสือค่อย ๆ เล่าให้เราฟังว่าคนเรานั้นให้น้ำหนักกับเรื่องลบ ๆ มากแค่ไหน (เกิดเรื่องร้าย 1 ครั้ง ต้องใช้เรื่องดี ๆ มาคานน้ำหนักถึง 4 เรื่อง ไม่อย่างนั้นจะยังรู้สึกแย่อยู่) จากนั้นก็พาเราไปสำรวจพื้นที่ต่าง ๆ ของชีวิตที่ "พลังลบ" จะตามไปถึง พร้อม "คำแนะนำที่ดีมาก ๆ" เช่น


ความสัมพันธ์ (อารมณ์เชิงบวกที่มีให้กันทั้งสองฝ่าย มีผลต่ออนาคตการแต่งงานเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย แต่วิธีการที่แต่ละฝ่ายตอบสนองต่อความคิดติดลบของกันและกัน เป็นเรื่องสำคัญ) / ความกลัว ความกังวล ที่มีแต่กำเนิด (เมื่อคุณมองโลก ความสนใจของคุณจะถูกดึงไปที่ภัยอันตรายโดยอัตโนมัติ ทารกเห็นภาพงูไวกว่ากบ เห็นใบหน้าเศร้าเร็วกว่าหน้าสุข สมองจะจดจ่ออยู่กับภาพที่ทำให้เกิดความกลัวหรือรังเกียจนานกว่า) / คำวิพากษ์วิจารณ์ (การแทนที่คำเชิงบวกแต่ละคำด้วยคำตรงข้าม ส่งผลต่อชื่อเสียงของนักวิจารณ์อย่างน่าประหลาดใจ)


นอกจากนี้ยังมีอีกหลายประเด็นที่น่าสนใจมาก เขียนไปเดี๋ยวจะยาวกว่านี้ครับ เช่น รางวัลกับการลงโทษ แบบไหนขับเคลื่อนคนได้ดีกว่ากันแน่? ถ้ามีคนที่มีพลังลบอยู่ในบริษัทจะมีวิธีรับมืออย่างไร? การทำธุรกิจกับการรับมือรีวิวในโลกออนไลน์ เมื่อ Bad กำลังเฟื่องฟู เราจะมีวิธีต้านทานอย่างไร อนาคตของเรื่องดี ๆ ยังมีอยู่มั้ย? โอโห ต้องบอกว่าแต่ละประเด็นเขียนดี เขียนสุด เขียนเก่งมาก


สรุป อยากให้อ่านมาก ๆ ครับ อาจมิข้อติหน่อยก็คือ ตัวหนังสือค่อนข้างเยอะ ต้องทยอยอ่าน เนื้อหาประมาณ​ 300 หน้าแบบไม่มีน้ำ


"ชนะพลังลบ : The Power of Bad" เขียนโดย John Tierney และ Roy Baumeister แปลโดย ไอริสา ชั้นสิริ สำนักพิมพ์ Cactus (ในเครือ B2S) ราคาปก 369 บาท


12.ดั่งใจปรารถนา


เห็นหน้าปกหวานแบบนี้ ชื่อเรียบร้อยแบบนี้ แต่เนื้อหาข้างในบาดลึก คมคาย เข้าใจชีวิต ผมขอนิยามว่านี่คือหนังสือ "เล่มเล็ก แต่เล่นใหญ่ในความรู้สึก"


"ดั่งใจปรารถนา" คือหนังสือภาษาอิตาลีที่ขายดีที่สุดในศตวรรษที่ 20 ผมอ่านแล้วได้ทั้งความสนุกแบบนิยาย ได้ทั้งปรัชญาชีวิต และยังได้เรียนรู้ว่าความสัมพันธ์นั้นช่างเปราะบางเหลือเกิน หนังสือเล่าเรื่องผ่านตัวละครคุณยายผู้โดดเดี่ยววัย 80 กว่าปี เกือบทุกวันยายเขียนจดหมายหาหลานสาวซึ่งไปเรียนต่อที่อเมริกา เป็นจดหมายที่ไม่มีวันไปถึงปลายทาง เพราะยายไม่ได้ส่ง เนื่องจากไม่รู้ที่อยู่หลาน นี่จึงเป็นเพียงบันทึกที่ใกล้เคียงกับการสารภาพบาปในชีวิตที่ผ่านมาของยาย


เรื่องพ่อแม่ของยายที่เข้มงวดจนทำให้ยายไม่กล้าทำผิดพลาด ขาดความมั่นใจ เรื่องยายกับความรักที่จืดชืดและความรักที่กลายเป็นความลับ เรื่องลูกสาวยายที่เกลียดยายจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต และรวมถึงเรื่องหลานสาวที่ครั้งหนึ่งเคยรักยายมาก ...ทั้งหมดเต็มไปอารมณ์ทั้งรักทั้งเกลียด ความผิดพลาดทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจให้เกิด


ความเก่งของคนเขียน (และรวมถึงผู้แปลที่แปลได้สละสลวยมาก) ก็คือ ทั้งเล่มเล่าผ่านความคิดของยายที่เขียนจดหมายหาหลาน ตัวอักษรเต็มไปด้วยประสบการณ์ชีวิตของคนผ่านร้อนหนาวมานาน ทั้งที่ตอนเขียนนิยายเรื่องนี้ ผู้เขียนอายุ 35 ปีเท่านั้น


มีหลายประโยคที่ผมชอบ ขอยกมาบางช่วงบางตอน

  • ที่คนตายมีค่า มิใช่เพราะเขาจากไปดอก แต่เพราะเรามีเรื่องซึ่งยังไม่มีโอกาสได้พูดกับเขามากกว่า

  • ถ้าอยากให้ตนเองเข้มแข็ง เราต้องรักตัวเองเสียก่อน และจะรักตัวเองได้ก็ต้องรู้จักตนเองให้ถ่องแท้ ต้องรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเอง รู้จักไปถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ลึกสุด และยากที่สุดที่จะยอมรับ

  • ถ้ามองจากภายนอก หลายชีวิตดูเหมือนผิดพลาดไม่มีเหตุผล บ้าบอ ตราบเท่าที่เรายังมองจากภายนอก เราก็เข้าใจผู้คนและสัมพันธ์ของพวกเขาผิดได้ง่าย ต่อเมื่อมาเป็นตัวเขาเอง ต่อเมื่อได้เผชิญสถานการณ์เดียวกับเขานานสักสามเดือนสิ เราจึงจะเข้าใจแรงจูงใจ อารมณ์ ความรู้สึก สิ่งซึ่งทำให้คนเราทำอย่างหนึ่งแทนที่จะเป็นอีกอย่างหนึ่ง ความเข้าใจนั้นเกิดขึ้นได้จากการข่มตัวตน มิใช่ด้วยหยิ่งยโสอวดรู้


ถือเป็นหนังสืออีกเล่มที่ผมอ่านแล้วซึมลึกเข้าไปในความรู้สึก เชื่อว่าใครก็ตามที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ เมื่อได้สัมผัสชีวิตของตัวละครในเล่ม จะต้องหวนนึกถึงใครบางคนในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว เพื่อน คนรู้จัก คนรัก หรือแม้แต่ตัวเอง


"ดั่งใจปรารถนา" เขียนโดย Susanna Tamaro แปลโดย สรรควัฒน์ ประดิษฐพงษ์ สำนักพิมพ์ผีเสื้อ ราคาปกอ่อน 365 บาท ราคาปกแข็ง 610 บาท


13.จดหมายจากฆาตกร


อ่านเพลิน สนุกดี มีข้อคิด ชื่อหนังสือเหมือนจะโหด นิยายฆาตกรรมหรือเปล่า? แต่ตรงกันข้ามครับ ไม่โหดเลย แต่ชวนฉุกคิด เพราะแก่นของหนังสือเล่มนี้คือเรื่องของมนุษยธรรม และเรื่องของการเลือกปฏิบัติ เล่มนี้เขียนโดย "เคโงะ" นักเขียนญี่ปุ่นชื่อเสียงโด่งดัง ในไทยเราแปลหนังสือเขานับสิบ ๆ เล่ม และขายดีมาก


"จดหมายจากฆาตกร" เล่าเรื่องชายคนหนึ่งซึ่งได้รับผลพวงจากการที่พี่ชายกลายเป็นฆาตกรโดยไม่ตั้งใจ พี่ชายเขาเข้าคุกรับโทษ ส่วนเขาแม้อยู่นอกคุก แต่กลับต้องรับโทษเพราะถูกสังคมตีตราว่า "นี่คือน้องชายฆาตกร" เขากลายเป็นคนประวัติเสีย ไม่ว่าจะเรียน ทำงานเลี้ยงชีพ ทำตามความฝัน มีแฟน หรือแม้แต่มีครอบครัว อดีตแต่หนหลังก็ยังตามมาหลอกหลอน โดยที่พี่ชายผู้ยังอยู่ในเรือนจำไม่รู้เลย และยังคงเขียนจดหมายหาเขาอยู่เสมอ ๆ


ฟังดูเหมือนเครียด แต่ไม่เลยครับ นิยายเคโงะอ่านง่าย สบาย ๆ เขาคือนักเขียนสายแมส ถ้าเป็นเพลงก็คือเพลงป็อป ภาษาไม่ซับซ้อน ตรงไปตรงมา แต่มีจุดเด่นคือตัวละครมีชีวิต เนื้อเรื่องมักมีประเด็นให้ต้องขบคิด มีความอบอุ่นละมุนใจอยู่ในเนื้อหา


ถือเป็นหนังสือที่เหมาะกับวันว่าง ๆ หรือตอนอยากหาอะไรทำที่ไม่ใช่การจ้องจอมือถือ หรือนั่งดูซีรีส์ ส่วนตัวผมคิดว่าการอ่านหนังสือมีข้อดีคือเรากำหนดความช้าเร็วในการเข้าถึงเนื้อหาได้ตามจังหวะใจ และอีกอย่างก็คือหนังสือทำให้เราได้อยู่กับความเงียบ ได้อยู่กับความคิด ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากในโลกยุคนี้


"จดหมายจากฆาตกร" เขียนโดย Higashino Keigo แปลโดย เสาวณีย์ นวรัตน์จำรูญ สำนักพิมพ์ maxx publishing ราคาปก 375 บาท


14.So Close yet So Far ระยะห่าง ระหว่างเรา


หนังสือที่งดงามทั้งภาพและตัวอักษร "So Close yet So Far ระยะห่าง ระหว่างเรา" ผลงาน "หนังสือภาพ" เล่มใหม่ของ "จิมมี่ เลี่ยว" นักวาดภาพชาวไต้หวัน ที่มีชื่อเสียงระดับโลก


ต่อให้ใครสักคนไม่เคยรู้จักเขาคนนี้ อย่างน้อยก็น่าจะเคยได้ยินคำว่า "ผู้หญิงเลี้ยวซ้าย ผู้ชายเลี้ยวขวา" นี่ชื่อชื่อหนังสือเล่มดังของเขาในปี 1999 A Chance of Sunshine ใครไม่เคยสัมผัสงานของจิมมี่ ผมแนะนำมาก ๆ ครับ งานของเขาคือศิลปะ ภาพสวย จิตนาการสูง โรแมนติก เหงาศร้ากำลังดี ตัวหนังสือเขียนน้อย แต่ต่อยหนักทุกตัวอักษร


ส่วนใครที่เป็นแฟนหนังสือของเขาอยู่แล้ว เล่มนี้ไม่ต้องลังเล เห็นแล้วซื้อเลย (เหมือนผม) เอาตรง ๆ ผมชอบเล่มนี้มากกว่า "ผู้หญิงเลี้ยวซ้าย ผู้ชายเลี้ยวขวา" เสียอีก ภาพสวยงาม เน้นมุมมองแบบ perspective (มีความลึก)


ในคำนำบอกว่านี่คือเรื่องราวของคู่รักอีกคู่หนึ่งที่จิมมี่ยังคงรู้สึกค้างคาในใจ และอยากเล่ามันออกมา ผลลัพธ์ก็คือเรื่องราวของชายหญิงคู่หนึ่งที่เติบโตมาด้วยตั้งแต่เล็ก บ้านใกล้กัน เรียนที่เดียวกัน ชอบพอซึ่งกัน แล้ววันหนึ่งกาลเวลาก็จับสองคนนี้ให้อยู่ห่างกันแสนไกล เพื่อที่จะพบว่าเมื่อกลับมาเจอกันอีกครั้ง ความรู้สึกนั้นยังเหมือนเดิม...แต่กลับไม่รู้จะเริ่มอย่างไร


เช่นเคย เล่มนี้แฟนหนังสือ จิมมี่ เลี่ยว ยังคงได้สนุกกับการเฝ้าสังเกต "จักรวาล" ที่เขารังสรรค์ขึ้น แทบทุกเล่มจะมีตัวละครนั้นนี้จากเล่มอื่น ๆ มาโผล่บนหน้ากระดาษ มีเจ้ากระต่ายยักษ์ นกยักษ์ แต่ที่พิเศษสำหรับเล่มนี้คือ มีหลายฉากที่จิมมี่ตั้งใจนำมาจากหนังสือ "ผู้หญิงเลี้ยวซ้าย ผู้ชายเลี้ยวขวา" เรียกว่าถ้าเปิด 2 เล่มนี้เทียบกัน จะยิ่งสนุกมาก ราวกับได้เห็นจักรวาลคู่ขนานของสองคู่รัก


ที่ยอดเยี่ยมอีกอย่างจนต้องชมก็คือ การถอดความเป็นภาษาไทยนั้นงดงามราวบทกวี ถือเป็นเรื่องถูกต้องที่เลือกผู้แปลอย่าง คุณอนุรักษ์ กิจไพบูลทวี มาแปลเล่มนี้อีกครั้ง เพราะแทบทุกเล่มของจิมมี่ แปลโดยเขาผู้นี้


เล่มนี้ผมมีข้อติอยู่อย่างเดียวก็คือ เล่มเล็กไปหน่อย จึงชื่นชมความงามของภาพวาดได้ไม่เต็มตา เข้าใจว่าถ้าเล่มใหญ่ก็คงต้นทุนสูง ตลาดหนังสือบ้านเราน่าจะยังไม่ตอบรับกับหนังสือภาพสักเท่าไร (เหมือนซื้อแล้วไม่คุ้ม อ่านจบไว) ...อยากบอกว่าเล่มนี้ผมเชียร์แบบออกนอกหน้าครับ อ่านสามรอบ ก็ยังมองเห็นอะไรใหม่ ๆ ที่ซ่อนอยู่ในหนังสือ ของเขาดีจริง ๆ


"So Close yet So Far ระยะห่าง ระหว่างเรา" เขียนโดย Jimmy Liao แปลโดย อนุรักษ์ กิจไพบูลทวี สำนักพิมพ์ piccolo ในเครืออมรินทร์ ราคาปก 285 บาท


15.แปดขุนเขา


หนังสือวรรณกรรมอิตาลีแนะนำครับ ภาษาละเมียดละไม อ่านแล้วดับร้อน ดับความวุ่นวายของโลกยุคนี้ได้ดีทีเดียว "แปดขุนเขา" เล่าเรื่องจากมุมมองของชายคนหนึ่ง ชื่อ "ปิเอโตร" ตั้งแต่เขายังเด็กจนถึงอายุสี่สิบกว่า ชีวิตวัยเด็กปิเอโตรเคยขึ้นไปอยู่บ้านเช่าบนหุบเขา พ่อเขารักการเดินขึ้นภูเขาสูง และชวนเขาเดินขึ้นไปด้วยกันเสมอ (แม้ว่าเขาจะไม่อินและเป็นโรคแพ้ความสูงก็ตาม) ที่นี่เองปิเอโตรได้พบเพื่อนใหม่ "บรูโน่" เด็กชายผู้เกิดและเติบโตบนเขา วัน ๆ มีหน้าที่เลี้ยงวัว ทั้งชีวิตแทบไม่เคยไปไหน แต่ก็มีทักษะชีวิตในแบบ "คนภูเขา" ที่คนเมืองแบบเขาไม่มี


เด็กชายสองคนนี้กลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน และมิตรภาพนี้จะยืนยาวไปอีกนาน แม้ว่าบางช่วงชีวิตของทั้งคู่จะต้องแยกจากกันไปนับสิบปี เพื่อกลับมาพบกันใหม่ ด้วยภารกิจบางอย่างที่พ่อของปิเอโตรมอบไว้ให้


เนื้อเรื่องเล่าได้ประมาณนี้ครับ ที่เหลือต้องไปอ่านเอง แต่บอกไว้ก่อนว่านิยายเรื่องนี้ไม่ได้มีเรื่องราวหวือหวา พล็อตหักมุมหรือเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ประมาณว่าถ้าเป็นหนัง ก็ไม่ใช่หนังฮอลลีวู้ด แต่เป็นหนังยุโรปแนวเส้นเรื่องน้อย ๆ แต่เต็มไปด้วยอารมณ์ลึก ๆ บรรยายฉากและความรู้สึกนึกคิดได้อย่างเห็นภาพ มีหลายประโยคที่ผมชอบ ขอยกบางตัวอย่างครับ


  • อดีตก็คือน้ำที่ไหลผ่านเราไปแล้ว คือน้ำที่ไหลลงไปข้างล่าง ซึ่งไม่มีอะไรให้เราอีก ส่วนอนาคตคือน้ำที่กำลังไหลลงมาจากข้างบน พาอันตรายและสิ่งไม่คาดคิดมาด้วย อดีตอยู่ในหุบเขา อนาคตอยู่บนเขา ไม่ว่าโชคชะตาจะคืออะไร มันสถิตอยู่ในขุนเขาเหนือศีรษะเรา

  • เราแต่ละคนมีระดับความสูงของภูเขาที่ตนโปรดปราน มีทิวทัศน์ที่คล้ายคลึงกับตัวเรา และเป็นที่ที่เราอยู่แล้วรู้สึกสบายใจ

  • เมื่อถึงช่วงหนึ่งของวัยหนุ่มสาว เราต้องอำลาภูมิลำเนาที่เราเกิดและเติบโตมา แล้วไปกลายเป็นผู้ใหญ่ที่แห่งหนอื่น

  • สิ่งที่ผมต้องปกป้องในตัวผมเองคือความสามารถในการอยู่ตามลำพัง ต้องใช้เวลาเหมือนกันกว่าผมจะชินกับความโดดเดี่ยว และทำให้มันกลายเป็นที่ที่ผมอยู่ได้ และอยู่แล้วสบายใจ

  • ลักษณะที่สถานที่เก็บรักษาเรื่องราวของเรา ลักษณะที่เราอ่านมันออกทุกครั้งเมื่อกลับไป ในชีวิตของคนเรามีภูเขาแบบนี้อยู่เพียงแห่งเดียว และเมื่อเทียบกันแล้ว แห่งอื่นทั้งหลายก็เป็นได้แค่ระดับรอง ต่อให้เป็นเทือกเขาหิมาลัยก็ตาม

  • คนเราต้องทำสิ่งที่ชีวิตสอนให้ทำ ตอนอายุน้อยๆ อาจยังเลือกที่จะเปลี่ยนเส้นทางเดินได้ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งควรหยุดและบอกตัวเองว่า เอาล่ะ สิ่งนี้เราทำได้ สิ่งนี้ทำไม่ได้ ฉันนึกสงสัยขึ้นมาว่า แล้วฉันล่ะ ฉันอยู่บนภูเขาได้ อยู่บนนี้คนเดียว เอาตัวรอดได้ มันก็ไม่น้อยแล้วนะ นายว่าไหม แต่จะเห็นได้ว่าฉันต้องอายุ 40 ก่อนถึงรู้ว่ามันก็มีคุณค่าอยู่เหมือนกัน

สารภาพว่าผมอ่านซ้ำ 2 รอบ ไม่ใช่ว่าประทับใจสุด ๆ แต่เพราะไม่ค่อยได้อ่านหนังสือแนวนี้ที่ต้องอาศัยสมาธิในการอ่าน (อ่านเร็ว ๆ แบบหนังสือฮาวทูไม่ได้ ต้องอ่านทุกบรรทัดและระหว่างบรรทัด) ต้องใช้จินตนาการสูงเพื่อจะนึกภาพตามที่ผู้เขียนบรรยาย เนื่องจากผมไม่เคยมีประสบการณ์แบบในเรื่องนี้เลย (ไม่เคยไปอิตาลี ไม่เคยปีนเขา ไม่รู้เรื่องงานก่อสร้าง ทำฟาร์ม) แต่ทั้งหมดกลับเป็นเรื่องดี มันทำให้ผมหลุดเข้าไปในหนังสือ อินไปกับเรื่องราว หนังสือที่เล่าช่วงชีวิตของคนคนหนึ่งตั้งแต่เด็กจนโตแบบนี้ผมชอบอ่านมาก อยากชวนให้อ่านครับ


"แปดขุนเขา" เขียนโดย Paolo Cognetti แปลโดย นันธวรรณ์ ชาญประเสริฐ สำนักพิมพ์อ่านอิตาลี ราคาปก 250 บาท


16.Never Let Me Go (แผลลึกหัวใจสลาย)


หนังสือนิยายที่ขอใช้คำว่า "โคตรดี" ผมซื้อมาดองตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เพิ่งได้หยิบมาอ่าน ที่ซื้อเพราะเคยอ่านบทสัมภาษณ์คุณวีรพร นิติประภา นักเขียนสองซีไรต์ เธอบอกว่าเป็นเล่มที่ชอบมาก เล่มนี้เขียนโดยนักเขียนรางวัลโนเบลปี 2017 แต่นิยายเล่มนี้พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2005 นิตยสารไทม์ยกให้เป็นหนึ่งในนิยายยอดเยี่ยมในรอบ (ประมาณ) 100 ปี


ดูจากหน้าปกและชื่อเรื่อง ทำให้ผมคาดเดาไปเองว่าน่าจะเป็นนิยายรักหักอกปวดร้าวเศร้าสร้อยอะไรทำนองนั้น แต่พออ่านจบพบว่ามันไปไกลกว่านั้นมาก มากจนคาดไม่ถึง


เล่าเท่าที่เล่าได้แบบไม่สปอยล์ นิยายเรื่องนี้เล่าผ่านมุมมองของหญิงสาววัย 31 ปีชื่อ แคธี เธอเล่าเรื่องของเธอย้อนไปในอดีตเมื่อครั้งยังอยู่โรงเรียนประจำที่ชื่อเฮลแซม เธอเล่าถึงเพื่อนรักอีก 2 คนนึง ชายและหญิง ซึ่งพอเล่าเท่านี้ หนึ่งชายสองหญิง เราก็อาจคาดเดาได้ว่าคงเป็นเรื่องรักสามเส้า ซึ่งจะว่าใช่ก็ได้ แต่ภาพกว้างของเรื่องนั้นใหญ่กว่านั้นมาก ตั้งแต่ต้นเรื่องเราจะงง ๆ กับสิ่งที่แคธีเล่า เธอพูดอะไรของเธอนะ อะไรคือผู้ดูแล อะไรคือผู้บริจาค ทำไมโรงเรียนเฮลแซมจึงดูแปลกกว่าที่อื่น ๆ แต่พออ่านไปเรื่อย ๆ เราจะค่อย ๆ เข้าใจ ยิ่งถ้าได้กลับมาอ่านใหม่อีกรอบหลังอ่านจบ ก็จะยิ่งสนุกครับ


เสียดายที่เล่าได้เท่านี้ เอาเป็นว่าใครชอบนิยายที่มีความลับที่เรารู้พร้อม ๆ กับตัวละคร ตัวเอกเป็นวัยรุ่นไล่มาจนโต มีเรื่องการเปลี่ยนผ่าน การได้เรียนรู้แบบที่เรียกว่า coming of age ชอบนิยายประเภทน้อยเหตุการณ์ แต่มากความรู้สึก เล่มนี้คุณน่าจะชอบมาก ๆ หรือถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วยังเฉย ๆ ลองอ่านที่พี่จ้อย นรา นักวิจารณ์มืออาชีพเขียนถึงหนังสือเล่มนี้ไว้ ที่นี่ เผื่อจะโน้มน้าวใจให้คุณสนใจหนังสือเล่มนี้ได้อีกแรง


ถือเป็นหนังสือที่ผมชอบมากในปีนี้ ดีใจมากที่ได้อ่าน มันจะเป็นหนึ่งในหนังสือที่ประทับอยู่ในทรงจำและความรู้สึกของผมไปอีกนาน


"แผลลึกหัวใจสลาย (Never Let Me Go)" เขียนโดย Kazuo Ishiguro แปลโดย นารีรัตน์ ชุนหชา สำนักพิมพ์ เอิร์นเนส พับลิชชิ่ง ราคาปก 280 บาท


17.สิทธารถะ


หนังสือนิยายระดับตำนานที่อยากแนะนำครับ ผมเคยอ่านเล่มนี้เมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว แต่เข้าไม่ถึง อ่านได้ไม่กี่หน้าก็หยุดไป ...ตัดฉับมาปัจจุบัน เห็นเวอร์ชั่นใหม่ ปกแข็ง หุ้มแจ็กเก็ต สวยงาม (และราคาถูกเหลือเชื่อ) จึงซื้อมาตั้งใจว่าจะเก็บไว้เฉย ๆ แต่ปรากฏว่าได้อ่าน ครั้งนี้อ่านจบ และชอบมาก นี่เป็นหนังสือประเภทที่อ่านซ้ำได้อีกหลายครั้งชีวิต เพราะจะมีหลายประโยคที่เรายังไม่เข้าใจในวันนี้ ต้องรอสั่งสมประสบการณ์ให้มากพอ จึงจะเข้าใจ


เล่มนี้คงเหมือนกับที่สำนักพิมพ์เกริ่นเอาไว้ในเล่มว่า เมื่อได้เห็นชื่อหนังสือ คนที่ยังไม่เคยอ่าน คงสงสัยว่าทำไมชื่อจึงคล้ายกับ "สิทธัตถะ" อันเป็นนามของพระพุทธเจ้าก่อนผนวช นี่ใช่นิยายประวัติพระพุทธเจ้าที่เขียนโดยชาวตะวันตกหรือเปล่า?


คำตอบคือไม่ใช่ (แต่ก็ไม่เชิง) ผู้เขียน (เฮสเส) เก่งมากที่สร้างตัวละครใหม่ขึ้นมา นามว่า "สิทธารถะ" ซึ่งมีความ "ยั่วล้อ" ของเส้นทางชีวิตไปกับเจ้าชายสิทธัตถะ (แถมยังได้มาพบกันอีกด้วย)


สิทธารถะเกิดในตระกูลพราหมณ์ ฉลาด หน้าตาดี บำเพ็ญตนตามแบบที่สอนกันมา วันหนึ่งเกิดสงสัยขึ้นมาว่าเหตุใดเขาจึงยังเข้าไม่ถึงอาตมัน ยังไม่พบความสงบที่แท้ วันต่อมาเขาได้พบเหล่าสมณะ จึงตัดสินใจละทิ้งครอบครัวเพื่อติดตามเหล่าสมณะไป พร้อมกับเพื่อนสนิทอีกคนนามว่า "โควินทะ"


ทั้งสองฝึกตามอย่างสมณะอยู่ถึง 3 ปีก็ยังไม่พบทางสงบที่แท้ ยังเป็นทุกข์ จนได้ข่าวว่ามีบุรุษหนึ่งพิชิตความทุกข์ได้แล้ว และกำลังประกาศธรรมคำสอนไปทุกเขตแดน ใคร ๆ ก็ต่างปวารณาตัวเป็นศิษย์ บุรุษนี้ก็คือ "พระพุทธเจ้า" นั่นเอง


เมื่อสิทธารถะและโควินทะได้เดินทางไปพบพระพุทธเจ้า ได้ฟังอริยสัจสี่และมรรคแปด โควินทะขอบรรพชาตามรอยพระพุทธเจ้า ในขณะที่สิทธารถะกลับออกเดินทางค้นทางคำตอบด้วยตนเองต่อไป เขาให้เหตุผลกับพระพุทธเจ้าว่าคำสอนนั้นถูกต้องครบถ้วนทุกอย่าง แต่หากเพียงฟัง ก็ไม่อาจเข้าใจโดยแท้จริง ต้องละทิ้งทุกหลักการและอาจารย์ เพื่อประสบพบด้วยตนเอง


เรื่องราวหลังจากนั้นจึงเป็นการเดินทางของสิทธารถะที่กลับเข้าสู่ทางโลกียะ ได้รับทั้งเงินทอง กาม อำนาจ แล้วจึงละทิ้งทุกสิ่ง มุ่งตรงเข้าป่า พบ "วาสุเทพ" คนแจวเรือข้ามแม่น้ำ ชายคนนี้จะทำให้สิทธารถะเข้าใจว่า "แม่น้ำ" สอนความจริงแห่งชีวิตให้เรา รวมถึงการได้กลับมาพบกันอีกครั้งระหว่างสิทธารถะและเพื่อนรัก โควินทะ

ถือเป็นหนังสือที่อ่านเอาพล็อตเรื่องก็ได้ สนุกดี มีขึ้นมีลง มีตัวละครที่มีเสน่ห์ หรือจะอ่านแบบหนังสือปรัชญาก็ได้ มีหลายประโยคให้ฉุกคิด ...สักครั้งในชีวิต เราน่าจะได้อ่านหนังสือเล่มนี้ครับ


"สิทธารถะ" เขียนโดย เฮอร์มานน์ เฮสเส แปลโดย สดใส สำนักพิมพ์เคล็ดไทย ราคาปก 250 บาท


18.นักเพาะกายผู้โดดเดี่ยว (The Lonesome Bodybuilder)


หนังสือรวม 11 เรื่องสั้นจาก Yukiko Motoya นักเขียนสาวชาวญี่ปุ่น เล่มนี้ได้ 2 รางวัลสำคัญของญี่ปุ่น บอกได้คำเดียวว่า "สนุกมากกกกกก"


อันที่จริงผมเลิกอ่านเรื่องสั้นมานานแล้ว เพราะเข้าไม่ถึง หลายเรื่องอ่านแล้วไม่เข้าใจว่าคนเขียนสื่ออะไร เล่าทำไม และทำไมจบแบบนั้น แต่กับเล่มนี้มันสุดยอดมาก เต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายปะปนกัน สนุก ตลก ลุ้น ลืบลับ บาดใจ เสียดสี มหัศจรรย์ เหนือจริง สะท้อนสังคม เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ และประโยคธรรมดา ๆ ที่บาดลึกความรู้สึก (โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ของคู่รัก)


ความน่าทึ่งของหนังสือเล่มเล็ก ๆ บาง ๆ เล่มนี้ก็คือ เรื่องสั้นบางเรื่องสั้นมาก สั้นจริง ๆ เช่น นักเพาะกายผู้โดดเดี่ยว ความยาว 18 หน้า แต่กลับสะท้อนชีวิตแม่บ้านญี่ปุ่นสุดเหงา ไร้ค่า สามีไม่สนใจ ได้อย่างเห็นภาพ สนุก ตลก บาดลึก เจ็บปวด และคลี่คลายได้ในที่สุด ถือเป็นหนึ่งในเรื่องสั้นที่ผมชอบที่สุดตั้งแต่เคยอ่านมา


แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผู้เขียนจะถนัดเขียนเรื่องสั้น ๆ เท่านั้นนะครับ เพราะในเล่มนี้ยังมีอีกเรื่องที่เจ๋งมาก ๆ ชื่อเรื่อง "ตำนานรักข้ามสายพันธุ์" (ผมไม่ค่อยชอบชื่อไทยเท่าไร ฟังดูแปลก ๆ ฉบับอังกฤษใช้คำว่า An Exotic Marriage) นี่ก็เล่าเรื่องของคู่รักอีกคู่ เรื่องนี้ยาวถึง 91 หน้า (หนาเกือบครึ่งนึงของทั้งเล่ม) เล่าถึงอิทธิพลที่คนรักมีต่อกัน ต่างฝ่ายต่างค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงกันโดยไม่รู้ตัว


ใครที่ชอบดูหนังเพราะหลงในเสน่ห์การเล่าเรื่อง แต่ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือ อยากให้ลองเปิดใจอ่านหนังสือดูบ้างครับ แล้วจะพบว่ามีบางอย่างที่เล่าเป็นภาพเคลื่อนไหวไม่ได้ ต้องอ่านเป็นตัวหนังสือเท่านั้นจึงเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึก และเล่มนี้ก็เหมาะดีที่จะเริ่มต้นครับ เพราะเล่มบาง และอ่านสนุก


"นักเพาะกายผู้โดดเดี่ยว" เขียน Yukiko Motoya แปล มุทิตา พานิช สำนักพิมพ์กำมะหยี่ ราคาปก 220 บาท


19.วินาทีไร้น้ำหนัก


สนุกมาก ผมอ่านไป 3 รอบ ยิ่งเก็บรายละเอียดที่ผู้เขียนซ้อนซ่อนไว้ได้เท่าไร ก็ยิ่งสนุกขึ้นเท่านั้น "วินาทีไร้น้ำหนัก" เขียนโดย "วุฒิชัย กฤษณะประกรกิจ" นักเขียน/นักแปล ประสบการณ์กว่า 20 ปี นี่คือนิยายเล่มแรกในชีวิตของเขาที่ตั้งคำถามกับชีวิตว่า "ถ้าคนเราโดดเดี่ยวดุจดังเกาะร้างกลางทะเลได้จริงๆ แล้วทำไมในวินาทีนี้เขาถึงรู้สึกสะทกอยู่ภายใน"


เล่าแบบสั้น ๆ ไม่สปอยล์ (หรือจะสปอยล์ก็ไม่มีผล เพราะความสนุกอยู่ที่รายละเอียด) ฉากเรื่องเกิดขึ้นในกรุงเทพ คืนวันศุกร์ รถตู้โดยสารเที่ยวสุดท้าย จากอนุสาวรีย์ชัยฯ ขึ้นดอนเมืองโทลเวย์ มุ่งหน้ารังสิต เพียงเปิดฉากมาหน้าแรก เราคนอ่านก็ได้รับรู้ว่ารถตู้คันนี้กำลังอยู่ในวินาทีประสบอุบัติเหตุรุนแรง ชนกับรถเก๋งคันหน้า...พวกเขากำลังอยู่ในวินาทีสุดท้ายของชีวิต


เสี้ยววินาทีที่กำลังเกิดอุบัติเหตุนั้นเอง ผู้เขียนได้แหวกถ่างมันออก แบบที่เขียนไว้ในหนังสือว่า "สสารรอบตัวกำลังหดเล็กลง แต่เวลาภายในใจของเขากับยืดขยายออกไปแบบไม่จำกัด แต่ละเสี้ยววินาทีกำลังผ่านไปอย่างเชื่องช้า" จากนั้นก็ใช้เวลาที่ถูกยืดขยาย เขียนเล่าถึงชีวิตผู้คนบนรถตู้ ว่าก่อนที่จะมาร่วมชะตากรรมเดียวกันในคืนนี้ ที่ผ่านมาแต่ละคนมีเรื่องราวความเป็นมาอย่างไรบ้าง สมหวัง ผิดหวัง เปลี่ยนแปลง หรือวนเวียนซ้ำซากมาอย่างไร


ตัวละครในรถตู้ มีตั้งแต่ อดีตคนเฝ้าร้านคาราโอเกะ ปัจจุบันคนขับรถตู้ / อดีตเซลล์แมนขายสีทาบ้าน ปัจจุบันขายหมึกเครื่องพิมพ์ / อดีตพนักงานบริษัท ปัจจุบันนักเขียนหนังสือนิยายขายไม่ออก / นักศึกษาสาวที่บังเอิญเป็นผู้อ่านนิยายเล่มนั้นที่ขายไม่ออก และรวมไปถึงคู่กรณี คนขับเก๋งคันหน้า เจ้าของบริษัทสถาปนิกเล็ก ๆ ...เรื่องราวของผู้คนเหล่านี้จะโยงใยไปถึงคนนอกรถตู้อีกหลายชีวิต หญิงคนขายน้ำที่วินรถตู้สาวรีย์ / หมาจรจัดที่อาศัยอยู่แถวนั้นเป็นประจำ / แคชเชียร์ซูเปอร์มาร์เก็ต หญิงสาวผู้มาซื้อของใช้ให้ผู้ชายของเธอ...ที่เป็นผู้ชายของคนอื่นด้วย


โครงเรื่องประมาณนี้ครับ แต่ความเจ๋งของนิยายเล่มนี้ก็คือมันซ้อนทับด้วยเรื่องราวหลายชั้น แต่ตั้งอยู่บนหัวใจเดียวกันนั่นคือ "การกลับบ้าน" ซึ่งความหมายของการกลับบ้านนั้นก็หลากหลายไปตามแต่ละตัวละคร


มีประโยคมากมายที่ผมชอบในหนังสือเล่มนี้ ขอยกมาบางตัวอย่าง...


บ้างอธิบายสภาพผู้คนในเมืองใหญ่ [เราต่างเกิดมาเพื่อเป็นฉากหลังอันพร่าเลือนสำหรับคนอื่น เราเป็นฉากหลังในชีวิตของกันและกัน ชีวิตนี้ทำไมมันช่างไม่มีความสลักสำคัญอะไรแบบนี้นะ / เมืองนี้มันก็เป็นเสียแบบนี้ มันเป็นเมืองที่ทำให้เราต่างคนต่างอยู่ ตัวใครตัวมัน ...ไม่แม้กระทั่งจะถามไถ่ชื่อเสียงเรียงนามทำความรู้จักกัน และทุกวันนี้ พวกเขาก็ไม่แม้กระทั่งจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากัน]


บ้างก็บรรยายสภาพในใจตัวละคร [ชีวิตนี้มีความหมายอะไรมากกว่านี้อีกไหม นอกจากแค่ขับรถไปกลับระหว่างรังสิตกับอนุสาวรีย์ชัยฯ/บอกฉันสิเจ้า ซูเปอร์มาร์เก็ต บอกฉันหน่อยว่าค่ำคืนนี้ฉันอยากจะซื้ออะไรอีก ชีวิตนี้ฉันต้องการอะไร และฉันคือใครกันแน่ นอกจากการเป็นคุณลูกค้าที่ไร้นาม ฉันรู้สึกว่าตัวเองว่างเปล่า]


บ้างก็เป็นมุมคิดที่น่าสนใจ [นรกคือคนอื่น คือการที่เราต้องมีชีวิตโดยขึ้นกับคนอื่นตลอดเวลา สายตาที่จับจ้องมองมา ความเห็นทั้งด้านดีและด้านร้ายที่เล็ดลอดเข้าหู ทำให้เราไม่สามารถเป็นอย่างที่เราอยากเป็น/น่าประหลาดดีที่การจะทำหรือไม่ทำอะไร การตัดสินใจแต่ละอย่าง การเลือกแต่ละทาง การกระทำทุกอย่างในแต่ละเสี้ยววินาที จะส่งผลต่อเนื่องที่แตกต่างออกไปอย่างมหาศาล มันอาจจะเปลี่ยนทั้งชีวิตของเราต่อจากนี้ไปตลอดกาล]


หรือบ้างก็ไปไกลถึงศาสนาและปรัชญา [ความสมบูรณ์สิ้นสุดลง เมื่อเกิดจุดอ้างอิงใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกนับพันหมื่นแสนล้าน / ชีวิตก็ถูกรายล้อมไปด้วยสรรพสิ่งที่เป็นอื่น ซึ่งล้วนแตกต่าง ชอบใจ ไม่พึงใจ แถมยิ่งกว่านั้น ชีวิตนี้ยังหาความสุขกายสบายใจอะไรไม่ได้เลย และชีวิตนี้ยึดกุมอะไรไว้ไม่ได้ด้วยเช่นกัน เพราะทุกอย่างแปรเปลี่ยนแปลง เสื่อมสลาย พลัดพราก / จากหนึ่งเดียวที่ได้ระเบิดออกเป็นสรรพสิ่ง ก็เพื่อให้เราได้กลับมามองเห็นกันและกันแบบนี้นี่เอง เราละทิ้งความสมบูรณ์พร้อมเพื่อจะได้ร่วมแบ่งปันความขาดพร่องร่วมกับผู้อื่น]


ก่อนที่จะยาวไปกว่านี้ ผมขอสรุปสั้น ๆ ตรงนี้ว่า "วินาทีไร้น้ำหนัก" เป็นนิยายที่น่าสนใจมาก รอบแรกผมอ่านแล้วเฉย ๆ เหมือนนิยายทั่วไป พอรอบที่สองเริ่มมองเห็นบางสิ่งที่ซ้อนซ่อนอยู่ (เช่น สภาวะไร้น้ำหนักที่เกิดขึ้นในฉากรถตู้ บนอวกาศ หรือแค่เพียงหน้าตู้แช่ร้านสะดวกซื้อ เช่นธีมของการกลับบ้าน) พอรอบสามก็เลยสนุกกับรายละเอียดอื่น ๆ ครับ เล่มนี้อ่านง่าย (ยิ่งคนกรุงเทพยิ่งอ่านง่าย เพราะฉากในเรื่องคุ้นเคยดี) ภาษาไม่สวิงสวาย อ่านเอาสนุก หรือจะอ่านเพื่อขบคิดก็ได้ ...แต่ไม่แนะนำให้อ่านบนรถตู้นะครับ มันจะสยองไปหน่อย


"วินาทีไร้น้ำหนัก" เขียนโดย วุฒิชัย กฤษณะประกรกิจ สำนักพิมพ์มติชน ราคาปก 400 บาท


20.ขอให้แมวโอบกอดคุณ


หนังสือรวมเรื่องสั้นแนะนำมากครับ เต็ม 10 ให้ 100 คะแนน เขียนดีมาก ผมอ่านไปรำพึงรำพันไปว่าทำไมเขียนเก่งจัง (ต้องชื่นชมผู้แปลด้วย) ข้อเสียประการเดียวของหนังสือเล่มนี้คือมันไม่ได้วางตัวเป็นวรรณกรรมทรงภูมิขึ้นหิ้ง แต่ดูเหมือนเป็นหนังสือชิลล์ ๆ ของเหล่าทาสแมว เหมาะกับการเปิดอ่านในคาเฟ่สไตล์มินิมอล ขาว ๆ ไม้ ๆ ทั้งที่จริงเรื่องราวในเล่มเล่าถึง "ความรู้สึก" ของมนุษย์ได้อย่างงดงามและมีความหวัง ถือเป็นหนึ่งเล่มที่ผมชอบที่สุดในปีนี้ และรวมถึงเท่าที่เคยอ่านหนังสือมา


เล่าแบบสั้น ๆ นี่คือรวมเรื่องสั้น 7 เรื่องที่มีจุดยึดโยงเดียวกัน คือร้าน Blanket Cats (แมวผ้าห่ม อันเป็นความหมายของชื่อหนังสือเล่มนี้ในภาษาญี่ปุ่น) ร้านดังกล่าวให้บริการเช่าแมว โดยมีกฏว่าเช่าได้ครั้งละ 3 วัน ห้ามเช่าตัวเดียวติดต่อกัน (จะได้ไม่ผูกพัน) ต้องกินอาหารที่ทางร้านให้ไป และต้องให้แมวนอนกับ "ผ้าห่ม" ที่ทางร้านเตรียมไว้ เพราะเป็นผ้าห่มของแมวตัวนั้นที่มันคุ้นเคยกลิ่น แมวจะได้ไม่เครียดเมื่อต้องเปลี่ยนผู้เช่าบ่อย ๆ


ฟังดูเหมือนต่อจากนี้จะเป็นเรื่องราวฟิน ๆ ของชาวทาสแมวที่คงได้อ่านอะไรคิ้วท์ ๆ ของน้องแมวหลายสายพันธุ์ แต่ความจริงก็คือ ผู้เขียนเพียงใช้เรื่องแมวให้เช่าเป็นจุดเชื่อมโยงไปยังบ้าน 7 หลังที่จะเกิดเป็นเรื่องราวต่อ ๆ มา (แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีรายละเอียดและตำนานแมวแต่ละชนิดที่ผู้เขียนทำการบ้านมาดีมากครับ)


ความสนุกจึงคือการที่เราได้ตามติดเข้าไปในบ้านแต่ละหลัง ซึ่งมีปัญหาแตกต่างกันไป คู่สามีภรรยาที่มีลูกไม่ได้ และกลายเป็นความว่างเปล่าของเสาร์อาทิตย์ / ครอบครัวที่คุณย่ามาเยี่ยมบ้านเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนลูกหลานจะส่งไปพักสถานสงเคราะห์ / ครอบครัวที่พ่อกดดันคาดหวังในตัวลูกชายมากเกินไป / เด็กน้อยหนีออกจากบ้าน เพราะไม่อยากอยู่กับแม่ใหม่ / สาวใหญ่จงใจเช่าแมวดำแมวตัวเดิมตลอดหลายปีที่ผ่านมา ให้สมกับความโชคร้ายในชีวิตของเธอ / หนุ่มสาวพยายามแอบเลี้ยงแมวในแมนชั่นที่ลุงเจ้าของดุมาก / พ่อผู้ซึ่งเพิ่งตกงาน กับการพยายามกอบสร้างความทรงจำดี ๆ ก่อนที่มันจะหายไป แต่มันเป็นความทรงจำที่ลูกสาวบอกว่า...เห็นแก่ตัว


สิ่งดีงามของหนังสือเล่มนี้ก็คือ มันมีความหมายหลายชั้นให้เลือกอ่าน จะอ่านเพื่อความสนุกเพลิน ๆ ก็ได้ (สนุกมาก รวดเดียวจบ และไม่อยากให้จบเลย) จะอ่านเพื่อเข้าใจความรู้สึกมนุษย์ก็ได้ (เขียนเก่งมาก บรรยายความรู้สึกที่ปนเปกันไปจนไม่แน่ใจว่าคือความรู้สึกอะไรกันแน่? รู้สึกผิด รู้สึกรัก โกรธ กลัว ประชดประชัน น้อยใจ ไม่มั่นใจ อ่อนแอ แกล้งเข้มแข็ง ฯลฯ) หรือจะอ่านเพื่อศึกษาชั้นเชิงการเขียนก็ยิ่งสุดยอด (สัญลักษณ์ การเปรียบเทียบ รูปประโยคที่ทิ้งว่างให้ต่อเติมเอง)


เหนือสิ่งอื่นใด ที่ผมชอบที่สุด แม้ทุกเรื่องจะเต็มไปด้วยปัญหาของตัวละคร แต่ผู้เขียนก็ยังเลือกจบเรื่องราวอย่างมี "ความหวัง" แบบพอเหมาะกำลังดี คือไม่หวานเลี่ยนโลกสวยเกินไป ถือว่าเหมาะมากที่จะอ่านในช่วงเวลาต้องการกำลังใจแบบด่วน ๆ ในตอนนี้


ผมขอจบด้วยประโยคหนึ่งของตัวละครในเล่ม คิดว่าคือตัวแทนของแก่นในเล่มครับ ตัวละครนั้นพูดว่า "แมวน่ะ ถ้าสูญเสียของสำคัญไปก็จะทำได้แค่ทุรนทุราย แต่มนุษย์น่ะต่างออกไป แม้สูญเสียสิ่งสำคัญไป แต่ก็ยังจดจำสิ่งนั้นไว้ และตามหาสิ่งสำคัญใหม่ได้ มนุษย์น่ะ จะหาสิ่งนั้นเจอได้ด้วยตัวเอง"


สรุปว่า เล่มนี้แนะนำครับ แนะนำจริง ๆ ได้โปรดหามาอ่าน เพื่อจิตใจอันอ่อนโยนและอ่อนแอ จะได้รับความหวังและกำลังใจ


"ขอให้แมวโอบกอดคุณ" เขียนโดย ชิเงมัตสึ คิโยชิ แปลโดย ปาวัน การสมใจ สำนักพิมพ์ picolo ในเครืออมรินทร์ ราคาปก 355 บาท


21.แท็กซี่คันนี้รับส่งความหวัง


นิยายญี่ปุ่นอบอุ่นหัวใจ ผมอ่านจบแล้วชอบมาก ๆ อยากชวนให้หามาอ่าน ถือเป็นนิยายอีกหนึ่งเล่มที่ผมประทับใจในปีนี้ เล่าสั้น ๆ แบบไม่สปอยล์ นี่คือนิยายที่ใช้พล็อตยอดฮิตที่เรียกว่า Man in the Hole ความหมายคือ ตัวละครกำลังตกอับ ชีวิตมีปัญหา คล้ายตกอยู่ในหลุมลึก และต้องหาขึ้นมาจากหลุมนั้นให้ได้ พล็อตแบบนี้เป็นที่รักของนักอ่าน เพราะเราได้ลุ้นเอาใจช่วยตัวละคร และอย่างน้อยก็ลืมปัญหาของเราไปได้ชั่วขณะ (แถมยังรู้สึกเหมือนปัญหาเราคลี่คลายไปด้วยพร้อมกับตัวละคร)


ชูอิจิคือตัวละครพระเอกในเรื่อง เขาอายุ 40 กว่า อาชีพพนักงานขายประกันชีวิต ที่ชีวิตตัวเองกำลังตกอับ นอกจากจะหาลูกค้าใหม่ได้ยาก ลูกค้ารายเก่าก็พากันยกเลิก นี่ยังไม่นับปัญหาที่บ้าน ลูกสาววัยมัธยมไม่ยอมไปโรงเรียน ภรรยากำลังวางแผนไปเที่ยวปารีส โดยที่ไม่รู้ว่าเขากำลังขาดรายได้ ส่วนพ่อของชูอิจิก็เพิ่งเสียไปเมื่อไม่กี่เดือน เหลือแต่แม่แก่ชราอยู่ตัวคนเดียวที่บ้านต่างจังหวัด


ปัญหารุมเร้า จนเขาได้แต่รำพึงกับตัวเองอยู่ริมถนนว่า "...ทำไมถึงมีแต่เราที่ต้องเจออะไรแบบนี้"


ตอนนั้นเองนาทีเปลี่ยนชีวิตของเขาก็เกิดขึ้นแบบที่เขาไม่รู้ตัว จู่ ๆ เขาก็โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่ง เมื่อขึ้นไปนั่ง ชูอิจิก็พบกับความแปลกประหลาด คนขับรู้จักชื่อของเขา รู้ว่าควรไปส่งเขาที่ไหน แถมมิเตอร์ยังเป็นเลขประหลาดที่ไม่น่าใช่ค่าโดยสาร เพราะมันกำลังลดลงเรื่อย ๆ ที่สำคัญคนขับแท็กซี่ยังบอกชูอิจิด้วยว่า "งานของผมคือเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของคุณ"


เรื่องราวต่อจากนั้น อยากให้ลองหามาอ่านกันเองครับ เป็นนิยายที่อ่านง่าย อ่านสนุก บทสนทนาคมคาย บรรยายฉากให้จินตนาการตามได้ไม่ยาก ใครอ่านงานญี่ปุ่นบ่อย ๆ น่าจะนึกออก


มีหลายประโยคในเล่มที่ผมชอบมาก ขอยกมาบางประโยค (ตัตต่อเพื่อความกระชับ)

  • เวลาที่พูดคำว่าโชคดี คนส่วนใหญ่มักไม่สนใจสิ่งที่ต้องทำก่อน ชอบข้ามขั้นไปคาดหวังอยากให้จู่ ๆ ก็มีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่คำที่ให้ภาพของโชคได้อย่างถูกต้องไม่ใช่ 'ดี' หรือ 'ร้าย' แต่เป็น 'ใช้' กับ 'สะสม' เราต้อง 'สะสม' ก่อน ถึงจะมีให้ 'ใช้' คนที่ถูกมองว่าเป็นคนโชคดี จริง ๆ แล้วเขาก็แค่ใช้ของที่ตัวเองสะสมมาเท่านั้น

  • การเปลี่ยนแปลงโชคชะตาให้ดีขึ้น เรียกอีกอย่างว่าจุดพลิกชีวิต จากจุดนั้นชีวิตเราจะดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะมีเรื่องวิเศษมหัศจรรย์เกิดขึ้น ทุกอย่างจะดูไม่ต่างกับวันทั่วไป เพียงแต่พอเวลาผ่านไปแล้วลองกลับมาย้อนทบทวนดู คุณจะนึกขึ้นได้ว่ามันเริ่มจากตรงนั้นนี่เอง

  • มนุษย์เราต่างก็ได้รับพลังงานจากความพยายามของใครสักคน แต่พอถึงตาตัวเองที่ต้องพยายามบ้าง กลับมองอะไรสั้น ๆ พอทำแล้วไม่เห็นผลทันตาก็โทษว่าโชคร้าย พยายามไปก็เปล่าประโยชน์ ในความเป็นจริง กว่าความพยายามจะเกิดดอกออกผล มันใช้เวลานานกว่าที่คิด และดอกผลที่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นกับตัวเราเอง บางทีมันก็ไปเกิดกับคนรอบข้างที่เรารัก หรือกับคนรุ่นต่อไป ชีวิตมนุษย์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของนิทานแห่งชีวิตที่ดำเนินไปชั่วนิรันดร์

  • มนุษย์ทุกยุคทุกสมัยต่างก็ใช้ชีวิตโดยทำหน้าที่ตามบทบาทของตัวเองในนิทานแห่งชีวิต หากคนในยุคไหนพยายามกันเต็มที่ ในยุคต่อไปก็จะได้เกิดมาในยุคสมัยที่ดีกว่ายุคก่อนหน้า ตัวคุณในตอนนี้เองก็กำลังใช้ชีวิตที่ได้รับสืบทอดมาในนิทานแห่งชีวิตอยู่ วันนี้หรือแม้แต่ตอนนี้ก็มีชีวิตใหม่ถือกำเนิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เด็ก ๆ เหล่านั้นลืมตาดูโลกท่ามกลางสังคมในปัจจุบันอย่างไร้เดียงสาไม่รู้เรื่องรู้ราวใด ๆ แล้วใครกันล่ะที่เป็นคนสร้างสังคมนี้ขึ้น...พวกเราไง

  • การคิดว่าถ้าคิดถึงแต่เรื่องดี ๆ แล้วจะมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นไม่ใช่การคิดบวก การคิดบวกที่แท้จริงคือการคิดว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ล้วนเป็นประสบการณ์ที่มีค่าและจำเป็นต่อชีวิต เราเกิดมามีชีวิตอยู่อย่างมากร้อยปีแล้วก็ตายจากไป แต่ถ้าตอนที่จากไป ได้ทิ้งสิ่งที่มีคุณค่าหรือประโยชน์ให้กับนิทานเรื่องนี้มากกว่าตอนที่เกิดมา ก็เท่ากับว่าแค่การที่เคยมีชีวิตอยู่ก็ถือเป็นเรื่องบวกแล้ว นี่ต่างหากที่เรียกว่าการคิดบวกของจริง

โดยสรุป อาจเรียกได้ว่าเป็นหนังสือนิยายกึ่ง ๆ ฮาวทูที่พูดถึงเรื่องการคิดบวก การควบคุมอารมณ์ การให้ค่ากับความพยายาม และการนึกออกไปนอกตัวเอง ทำสิ่งดี ๆ ทิ้งไว้ให้กับคนรุ่นหลัง จะมีข้อตินิดนึงก็คือ เหมือนผู้เขียนพยายามใช้คนขับแท็กซี่เทศนาในสิ่งที่เขาอยากบอกสอนไปหน่อยเท่านั้นเองครับ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเนื้อหาที่เขาสอนเรานั้นเป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ ผมยังเก็บมาครุ่นคิดจนถึงนาทีนี้


ทิ้งท้ายไว้อีกนิด หากใครเป็นตัวแทนประกัน (หรือแม้แต่คนที่ทำประกัน) จะยิ่งชอบเล่มนี้มาก ๆ เพราะตัวละครเอกเขาให้นิยามเกี่ยวกับการทำประกันไว้ได้ดีมาก


"แท็กซี่คันนี้รับส่งความหวัง" เขียนโดย คิตางาวะ ยาซุชิ แปลโดย อิศเรศ ทองปัสโณว์ สำนักพิมพ์วีเลิร์น ราคาปก 250 บาท





1,314 views0 comments
Home: Blog
Screen Shot 2561-12-19 at 01.56.23.png
Screen Shot 2561-12-19 at 01.56.34.png

กรอกข้อมูล รับฟรี! ebook บนท้องฟ้ารถไม่เคยติด

bottom of page