top of page

หนัง/ซีรีส์ที่ดูแล้วชอบ Q1 2022

เป็นประจำทุกสัปดาห์ ผมจะแนะนำหนัง/ซีรีส์ที่ดูแล้วชอบไว้ในแฟนเพจ boy's thought อย่างไรก็ตาม ด้วยระบบของ facebook ทำให้การสืบค้นโพสต์เก่า ๆ ทำได้ยาก ผมจึงนำมารวบรวมไว้ในเว็บไซต์ เผื่อว่าใครจะลองไปหามาดูบ้าง โดยครั้งนี้จะเป็นหนัง/ซีรีส์ที่ผมดูในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม 2022 (มีบางเรื่องดูปลายเดือนธันวาคม 2021) มาเริ่มกันเลยครับ



1.Don't’ Look Up (Netflix)

คงไม่ต้องแนะนำให้มากมาย สำหรับหนังฟอร์มใหญ่เรื่องนี้ ที่น่าทึ่งคือพวกเราได้ดูหนังรวมดาราดังขนาดนี้ “ที่บ้าน” (หนังฉายจำกัดโรงพอเป็นพิธีไม่กี่วัน แล้วเข้าฉายใน Netflix ทั่วโลก)



พล็อตเรื่องสั้น ๆ แบบไม่สปอยล์ สองนักวิทยาศาสตร์ตรวจพบว่าดาวหางขนาดยักษ์กำลังจะพุ่งชนโลกในอีก 6 เดือนข้างหน้า ทั้งคู่จึงพยายามแจ้งข่าวนี้กับคนทั้งโลก ทั้งไปออกรายการทีวีสุดฮิต ทั้งติดต่อขอพบประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจเรื่องนี้ ข่าวดารารัก ๆ เลิก ๆ กับข่าวอื้อฉาวของ ปธน. ดูจะสำคัญกว่า สองนักวิทย์ยังพยายามต่อไป จนกระทั่งวันหนึ่งชาวโลกเริ่มเชื่อแล้วว่านี่คือเรื่องจริง แต่มันก็นำไปสู่ความวุ่นวายโกลาหล ความแตกแยก และการแย่งชิงผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจทั้งหลาย


อ่านพล็อตแล้วเหมือนหนังน่าจะเครียด แต่ตรงข้ามครับ นี่คือหนังตลกร้ายเสียดสีประชดประชันหลายวงการ ทั้งสื่อ ดารา นักการเมือง ทหาร นักธุรกิจสายเทค นักวิทย์ คนรุ่นใหญ่ คนรุ่นใหม่ ซึ่งหากดูจากประวัติของผู้กำกับและเขียนบทอย่าง Adam McKay แล้วก็คงไม่แปลกใจ เพราะพื้นฐานของเขามาทางเขียนและกำกับหนังสายตลกรั่ว ๆ ร่วมกับ Will Ferrell เพียงแต่มาดังมาก ๆ กับหนังดราม่าวงการการเงินเรื่อง Big Short


โดยสรุป ผมคิดว่าผู้ชมอาจมองว่านี่เป็นหนังตลกร้ายทั่ว ๆ ไปเรื่องหนึ่ง หากไม่มีดาราดังจำนวนมากขนาดนี้มาคานน้ำหนัก แน่นอนว่าบทดีมาก เสียดสีเจ็บแสบมาก มีบทเรียนสอนใจในช่วงท้ายว่าอะไรคือสิ่งสำคัญ แต่ก็ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งที่หลายคนรอดูก็เพราะหน้าหนังที่รวมดาราเบอร์ใหญ่ไว้ขนาดนั้น


ตัวหนังจะดูแค่เพื่อสนุกก็ได้ เพื่อสะท้อนเหตุบ้านการเมืองก็ได้ หรือจะตีความไปถึงว่าอุกาบาตดังกล่าวคือเหตุการณ์โลกร้อนที่ไม่ค่อยมีคนสนใจก็ได้ ดูมุมไหนก็สนุกและได้แง่คิด เรื่องนี้ให้ 8/10 ครับ


2.tick,tick...BOOM! (Netflix)

หนังสนุกกว่าที่คิดไว้มาก เพลงก็เพราะมาก ๆ ขนาดผมไม่ใช่สายละครเพลง ยังสนุก ตลก และลุ้นไปกับตัวละคร พล็อตเรื่องสั้น ๆ แบบไม่สปอยล์ นี่คือหนังเพลง (หนังที่ตัวละครร้องเพลงเล่าเรื่องราว) ที่สร้างจากละครเพลงชื่อเดียวกันของ Jonathan Larson นักประพันธ์ผู้เป็นตำนาน เจ้าของมิวสิคัลชื่อ RENT ซึ่งเปิดแสดงในบรอดเวย์ต่อเนื่องยาวนานถึง 12 ปี



หนังเล่าเรื่องชีวิตจริงของ Jonathan ในช่วงที่เขาใกล้จะอายุ 30 ปี อยู่ในสภาพกดดันเพราะยังไม่ประสบความสำเร็จดังหวังไว้ เขาอยากเป็นนักประพันธ์ละครเพลงที่มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นพนักงานเสิร์ฟไปพลาง ๆ ตอนนี้ละครเพลงชิ้นแรกของเขาใกล้จะเสร็จแล้ว ขาดก็แต่เพลงเอกของเรื่อง เขานึกอย่างไรก็นึกไม่ออกแต่งไม่ได้เสียที ช่วงเวลานั้นเหมือนปัญหาทุกอย่างรุมเร้าเขาไปหมด ทะเลาะกับเพื่อน มีปัญหากับแฟน ค่าน้ำค่าไฟก็ไม่มีจะจ่าย แล้วจะเอาความคิดสร้างสรรค์มาจากไหน?


เรื่องราวเล่าไว้ประมาณนี้ ที่เหลืออยากชวนให้ไปดูต่อกันเอง สารภาพว่าตอนแรกผมบอกผ่านเรื่องนี้ เพราะไม่ใช่แนว แถมผมยังไม่รู้จัก Jonathan Larson (แต่เคยได้ยินชื่อละครเพลง RENT) ก็เลยไม่รู้จะดูหนังประวัติชีวิตของเขาไปทำไม แต่ปรากฏว่าดูไปสักพัก รู้สึกได้เลยว่านี่คือหนังดีมีคุณภาพ เนื้อเรื่องคนส่วนใหญ่มีประสบการณ์ร่วมได้ไม่ยาก (การฟันฝ่าพิสูจน์ตัวตน ความกดดันที่ต้องประสบความสำเร็จให้ได้เพราะเลือกทางต่างจากคนอื่น) เพลงก็เพราะมาก ตลกมาก (ไม่ได้ร้องเพลงพร่ำเพรื่อจนน่าเบื่อ แต่เพลงมีความหมายทุกฉาก แถมฟังง่ายติดหู เพลง Sunday ผมหัวเราะลั่นบ้าน เพลง Therapy นี่คือคิดเนื้อเพลงแบบนี้ได้ไง เพลง Come to Your Senses เพลงเอกของเรื่อง เพราะมาก ๆ นึกถึงเพลงสไตล์ยุค 90s) ทั้งหมดนี้ถูกเล่าอย่างฉับไว มีสไตล์ ไม่มีแม้แต่หนึ่งวินาทีให้น่าเบื่อเลย


สรุปว่าหนังดี เพลงดี แสดงดี แถมยังเขียนบทและกำกับโดยมือรางวัล เรื่องนี้ผมให้ 9/10 ครับ


3.The Hand of God (Netflix)

หนังดีที่อาจไม่เหมาะกับทุกคน แต่ก็ยังอยากแนะนำครับ เป็นหนังอิตาลี เพิ่งได้รางวัลจากเทศกาลหนังเวนิส และอิตาลีส่งเข้าชิงออสการ์สาขาหนังต่างประเทศ เล่าสั้น ๆ แบบไม่สปอยล์ นี่คือหนังในสไตล์ Coming of Age (ตัวละครเปลี่ยนผ่านเติบโตจากการเรียนรู้บางอย่าง) ผู้กำกับเล่าย้อนกลับไปในช่วงปี 1980s สมัยที่เขาอายุ 17 ปี เกิดและเติบโตที่เมืองนาโปลี (หรือที่เราคุ้นในชื่อ เนเปิ้ลส์)



ตัวเอกคือ Fabietto หนุ่มวัยรุ่นท่าทางเงียบ ๆ ไม่มีเพื่อน ครอบครัวเขาดูอบอุ่น พ่อแม่ยังสวีทหวานต่อกันอยู่เสมอ พี่ชายวัยใกล้เคียงกัน พี่สาวผู้ขลุกตัวอยู่แต่ในห้องน้ำ และขบวนญาติ ๆ อีกมากมายที่แปลกแตกต่างกันไป น้าสาวสุดเซ็กซี่แต่สติไม่ดี คุณย่าที่ปากจัดด่าไปทั่ว น้าสาวร่างท้วมอีกคนแต่งกับชายชราทหารผ่านศึกผู้เป็นใบ้ ฯลฯ เรื่องราวทั้งหมดนี้มีฉากหลังคือบรรยากาศสวย ๆ ของเมืองติดชายฝั่งอย่างนาโปลี และรวมถึงข่าวที่ชาวเมืองเล็ก ๆ เมืองนี้กำลังสนใจคือข่าวที่ว่านักฟุตบอลชื่อดังอย่าง "ดีเอโก้ มาราโดน่า" กำลังจะย้ายมาเตะให้กับทีมประจำเมืองนี้


และแน่นอนครับ หนังในสไตล์ Coming of Age ก็ย่อมแปลว่าตัวละครต้องเจอเรื่องบางเรื่องที่เปลี่ยนแปลงความคิดความเชื่อเขาไปตลอดกาล ซึ่งในหนังจะเป็นเรื่องอะไรนั้น คงเล่าไม่ได้ครับ ต้องไปดูกันเอง


อย่างไรก็ตาม แบบที่ผมบอกไว้ตอนต้นว่า นี่คือหนังดีที่อาจไม่เหมาะกับทุกคน นั่นก็เพราะมันไม่ได้ถูกเล่าตามสูตรแบบหนังฮอลลีวู้ด ที่เล่าทุกอย่างชัดเจน รวดเร็ว ทุกอย่างถูกวางที่ทางไว้ด้วยสาเหตุบางอย่าง แต่ The Hand of God นั้นเล่าแบบสไตล์หนังยุโรป หนังอินดี้ (แบบที่ถ้าใครเคยดูหนังแนวนี้ จะนึกออก) กล่าวคือ บางฉากเราก็ไม่อาจเข้าใจว่าหมายถึงอะไร บางฉากก็เหมือนจะเหนือจริง บางฉากตัวละครก็คุยกันไปเรื่อยเปื่อย บางฉากก็ทำเอาเราตกใจ บางฉากก็ 18+ บางฉากก็ทำเอาเราตลก บางฉากก็อีหยังวะก็มีครับ


แต่ทั้งหมดทั้งปวงนี้ ดูรู้เรื่องนะครับ ไม่อินดี้ขนาดไม่รู้เรื่องเลย หนังมีจุดเปลี่ยนที่ชัดเจน (ถ้าดูสองรอบก็จะยิ่งเข้าใจขึ้น) อย่างน้อย ๆ ฉากก็สวย ดนตรีประกอบไพเราะ นักแสดงก็มีเสน่ห์เป็นที่น่าจดจำทุกคน (บางฉากตลกมาก บางฉากโป๊มาก) แต่ถ้าคาดหวังว่ามีจะเรื่องของมาราโดน่า หรือเรื่องฟุตบอลเยอะ ๆ คงผิดหวัง เพราะเป็นแค่ฉากหลังบาง ๆ เท่านั้น


เอาเข้าจริง ผมยังคิดว่าที่หนังชื่อ The Hand of God นั้น นอกจากจะเป็นชื่อ "หัตถ์พระเจ้า" อันเป็นเหตุการณ์ทำประตูที่โด่งดังไปทั่วโลกของมาราโดน่าในปี 1986 แล้ว หนังยังอาจหมายถึงชีวิตของตัวละครในเรื่อง (รวมถึงตัวเราด้วย) ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ บางทีชีวิตก็สับสน บางทีชีวิตก็เล่นตลก (ที่ไม่ตลก) บางทีชีวิตก็พาเราไปอีกทางแบบที่ไม่เคยคิดฝัน คล้ายเราเป็นหมากตัวหนึ่งในหัตถ์พระเจ้าที่ถูกจับให้เดินไปทางไหนก็ไม่อาจรู้ได้


โดยสรุป เป็นหนังดี แต่รสชาติอาจไม่คุ้นเคย ใครอยากลองของใหม่ ๆ ดูหนังแบบที่ไม่ค่อยได้ดู ลองเริ่มจากเรื่องนี้ได้ เชื่อว่าจะมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ ไม่ค่อยมีตรงกลางแบบดูแล้วเฉย ๆ เรื่องนี้ผมให้ 8/10 ครับ


4.The Lost Daughter (Netflix)

หนังดีที่อาจไม่เหมาะกับทุกคน แต่ก็ยังอยากแนะนำครับ เข้าชิงหลายรางวัลในหลายเวที พล็อตเรื่องคร่าว ๆ แบบไม่สปอยล์ หญิงวัย 48 ปี อาชีพอาจารย์สอนวิชาวรรณคดีเปรียบเทียบ เธอเดินทางลำพังไปพักผ่อนที่ริมทะเลกรีซ เพื่อหวังจะได้พบกับความสงบ แต่กลับพบคนกลุ่มใหญ่ที่มาพักที่นี่เหมือนกัน เธอได้รู้จักหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเป็นแม่ของลูกสาววัย 3 ขวบ และได้สนิทกันโดยบังเอิญ ​เรื่องราวของคุณแม่ยังสาวคนนี้ ทำให้อาจารย์สาววัยกลางคนนึกถึงเรื่องราวแต่หนหลังของเธอ



ผมเล่าเรื่องราวไว้ประมาณนี้ ที่เหลืออยากให้ไปดูต่อกันเอง แต่บอกไว้ก่อนว่านี่ไม่ใช่หนังฆาตกรรม ไม่ใช่หนังทริลเลอร์ ไม่มีฉากลุ้นระทึกไล่ล่า แต่เป็นหนังดราม่าเข้ม ๆ ว่าด้วยจิตวิทยา กับประเด็น "ความรู้สึกผิดที่จะมีความสุขในเรื่องที่ไม่สมควรจะมีความสุข" ดังนั้นอย่าได้คาดหวังความตื่นเต้นจากหนังเรื่องนี้ ผมก็เลยบอกไว้ตั้งแต่ตอนต้นว่า "เป็นหนังดีที่อาจไม่เหมาะกับทุกคน" หนังเล่าตัดสลับปัจจุบันกับอดีตอยู่ตลอด กล้องถ่ายระยะประชิดจนอึดอัดในบางฉาก และหนังเล่าไปเรื่อย ๆ แบบไม่รีบร้อน (แต่คำพูดที่เป็นเสมือนหัวใจของเรื่องนี้ ตอนหล่นออกมาจากปากนางเอกในช่วงท้าย ๆ ก็ทำเอาเราคนดูจำได้ไม่มีลืม) ใครชอบหนังตื่นเต้น เล่าเรื่องแบบเคลียร์ ๆ ตัวดีตัวร้ายชัด ๆ อาจไม่ชอบเรื่องนี้


คนมีลูกน่าจะอินกับเรื่องนี้ไม่มากก็น้อย คนไม่มีลูกก็จะรู้สึกอีกแบบ ส่วนคนมีแม่ (ซึ่งคือทุกคน) ก็อาจเข้าใจแม่ในมุมที่เราไม่เคยนึก ส่วนผมเองจะมีไม่ชอบอยู่จุดนึงก็คือ รู้สึกว่านักแสดงที่เล่นเป็นนางเอกวัยกลางคน (Olivia Colman) กับนักแสดงที่เล่นเป็นนางเอกตอนสาว (Jessie Buckley) หน้าตาไม่ค่อยคล้ายกันเท่าไร (หรืออาจเป็นความตั้งใจของผู้กำกับก็ได้ เพราะเรื่องนี้ซ่อนสัญลักษณ์ให้ตีความอยู่หลายจุด)


เรื่องนี้ผมให้ 8/10 ครับ


5.Asakusa Kid (Netflix)

หนังญี่ปุ่นแนะนำมาก ๆ ผมเก็บเข้าลิสต์หนังโปรดในดวงใจตลอดกาลเรียบร้อย แม้จะไม่ถึงขั้นมาสเตอร์พีซ แต่ให้ 10/10 ในแง่ความสนุก หัวเราะร่า น้ำตาริน มีหนังไม่กี่เรื่องที่ทำได้แบบนี้ หนึ่งในนั้นคือหนังเรื่องนี้ครับ



พล็อตเรื่องสั้น ๆ แบบไม่สปอยล์ หนังเล่าย้อนไปในยุค 70s ประเทศญี่ปุ่น เล่าเรื่องของชายหนุ่มคนหนึ่ง "ทาเคชิ" อดีตคือนักศึกษาวิศวะที่ลาออกกลางคัน เลี้ยงชีพด้วยการรับจ้างทั่วไป จนสุดท้ายได้งานเป็นเด็กกดลิฟต์ที่สถานบันเทิงย่านอาซากุสะ ที่นี่นอกจากจะมีโชว์หญิงสาวเปลื้องผ้าแล้ว ยังมีโชว์ตลกบนเวที (คล้าย ๆ ตลกคาเฟ่บ้านเรา) ที่แสดงนำโดย "ฟุคามิ" เจ้าของสถานที่แห่งนี้


ในเวลาต่อมา ทาเคชิเริ่มหลงใหลในวิชาตลก เขาใช้วิชาครูพักลักจำ ก่อนจะฝากตัวขอเป็นศิษย์ฟุคามิ ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ปากร้ายแต่ใจดี และเรื่องราวหลังจากนั้นก็คือความผูกพันของศิษย์กับอาจารย์ เป็นความผูกพันแบบที่เรียกว่า "ไม่รักแต่คิดถึง" ก็คงพอได้


อันที่จริงผมเห็นโปสเตอร์และเรื่องย่อของหนังเรื่องมาสักพักแล้ว แต่ไม่คิดกดดู เพราะเข้าใจไปเองตามเรื่องย่อที่บอกว่า นี่คือหนังชีวประวัติของดาราดัง ทาเคชิ คิตาโนะ (ปัจจุบันอายุ 74 ปี) ซึ่งคอหนังยุคสัก 20 ปีที่แล้วคุ้นหน้าคุ้นตากันดี พอคิดว่าเป็นหนังประวัติดาราซึ่งผมก็ไม่ใช่แฟนสักเท่าไร จึงไม่ได้กดดู แต่พอเห็นบางคนเริ่มแนะนำว่านี่คือหนังที่เขาชอบที่สุดแห่งปี 2021 (หนังมีให้ดูเมื่อปลายปี 2021) ผมชักเอะใจ ...และไม่ผิดหวังเมื่อดูจบ เราไม่จำเป็นต้องรู้จักเลยก็ได้ว่า ทาเคชิ คิตาโนะ คือใคร เพราะหนังสนุกด้วยตัวมันเอง


นี่คือหนังที่ทำงานกับหัวใจ ความรู้สึกของผมหลังดูจบคืออิ่มเอิบหัวใจ ระลึกนึกถึงผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต (และบางคนจากไป ทั้งจากเป็นและจากตาย) รวมถึงมีกำลังที่จะสู้ต่อไปในห้วงเวลาที่ต้องการกำลังใจมาก ๆ ในยุคโรคระบาดแบบนี้


หนังดีมากครับ ในแง่ของความบันเทิงมีให้ครบถ้วน แสดงดีมาก ตลกมาก ซึ้งมาก (ผมดูพากย์ไทย ทำได้ยอดเยี่ยมมาก แนะนำครับ) ตัวละครน่ารักทุกตัว ไม่ว่าตัวหลักหรือรอง การถ่ายทำสุดยอด จำลองอดีตเหมือนมาก มุมกล้องสวย รวดเร็วทันใจ วิธีเปลี่ยนผ่านจากฉากอดีตสู่ปัจจุบันแล้วหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวคล้ายได้ดูละครเวที เพลงเพราะมาก เสียงกลองรัว ๆ ความสวิงของเพลงแจ๊ส ผมต้องตามไปฟังซาวน์แทร็คใน spotify ต่อ ประทับใจมาก


ดูจบแล้วนึกว่าเมืองไทยเราน่าจะมีทำหนังแบบนี้บ้าง วงการตลกของเราก็เปลี่ยนผ่านมาหลายยุค ตลกคาเฟ่ เทปตลก ตลกในรายการทีวี ตลกร้านหมูกระทะ เดี่ยวไมโครโฟน ฯลฯ ถ้าเล่าเรื่องได้ดีแบบนี้ อย่างน้อยก็น่าจะเป็นบันทึกวงการตลกของบ้านเราได้ดี


ไม่อยากให้พลาดจริง ๆ ครับสำหรับหนังเรื่องนี้ ผมให้ 10/10 ครับ


6.Mare of Easttown (HBO GO)

ซีรีส์แนะนำครับ 7 ตอน 7 ชั่วโมง ได้ 4 รางวัลจากเวที Primetime Emmy Awards โดยหนึ่งในรางวัลนั้นคือนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม Kate Winslate ที่รับบทแบกหนังทั้งเรื่องไว้ คู่ควรกับรางวัลครับ



พล็อตสั้น ๆ แบบไม่สปอยล์ นี่คือเรื่องราวของ "แมร์" ตำรวจนักสืบหญิงแห่ง "อีสทาวน์" ชานเมืองฟิลาเดเฟีย วันหนึ่งเกิดคดีฆาตกรรมหญิงสาว เธอได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่สืบหาตัวฆาตกรให้ได้ โดยระหว่างนี้เธอก็ต้องคอยซ่อมแซมชีวิตส่วนตัวของเธอที่กำลังพังลงทุกขณะ


ฟังดูพล็อตเรื่องนั้นแสนจะธรรมดา เหมือนเคยดูมาแล้ว ซึ่งก็ถูกต้องครับ แต่ความน่าสนใจของซีรีส์ขนาดสั้นเรื่องนี้มีอยู่หลายอย่างที่มากกว่าแค่โครงเรื่อง ว่ากันตั้งแต่เรื่องราวเกิดขึ้นในชุมชนที่ผู้คนรู้จักหน้าค่าตากันดี ผู้ต้องสงสัยจึงเป็นไปได้ทั้งหมด ตั้งแต่แก๊งค์วัยรุ่น คนติดยา บาทหลวง ฆาตกรฆ่าต่อเนื่อง หรือแม้แต่คนใกล้ชิด ทำให้คนดูอย่างเราต้องคอยจับผิดว่าใครกันแน่คือคนร้ายคนนั้น (ซึ่งรับรองว่าเดาไม่ถูก หนังเฉลยแทบจะไม่กี่นาทีสุดท้ายก่อนจบ)


แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ความดีงามทั้งหมดของซีรีส์เรื่องนี้ เพราะเอาเข้าจริง ผมคิดว่าการตามหาตัวคนร้ายเป็นเพียงการขับเคลื่อนให้เรื่องไปข้างหน้าแบบตื่นเต้นน่าลุ้น แต่สิ่งที่ถูกเล่าไปพร้อม ๆ กันคือเรื่องราวของปัญหาในครอบครัว การสูญเสีย การยึดติดอยู่กับอดีต ความไม่ไว้ใจกัน ความไว้ใจกันมากไป การไม่ยอมให้อภัยกัน ...และการไม่ยอมให้อภัยตัวเอง


สำหรับผม ฉากที่ตราตรึงในใจยิ่งกว่าตอนเฉลยตัวคนร้าย กลับเป็นฉากที่นางเอกของเรื่องเข้ารับการบำบัด แล้วได้รับคำแนะนำจากจิตแพทย์ ฉากที่เธอคุยกับแม่ (ที่ไม่ลงรอยกัน) ว่าด้วยการให้อภัย และฉากหลังจากเฉลยตัวคนร้ายที่นำมาซึ่งความรู้สึกประหลาดที่เรียกว่า "ความรู้สึกผิดที่ทำสิ่งถูกต้อง"


เล่ามาทั้งหมด เหมือนหนังจะเครียด แต่เปล่าเลย ดูสนุกมาก น่าลุ้นน่าติดตาม ไม่มีฉากโหดร้ายสยองขวัญ แถมระหว่างทางยังมีบทกุ๊กกิ๊กให้ชื่นใจ มีบทจิกกัดระหว่างแม่ลูกให้หัวเราะดัง ๆ เรื่องนี้ให้ 9/10 ครับ


7.The Last Duel (Disney+)

หน้าหนังดูเหมือนบู๊ ๆ แบบผู้ชาย แต่ไส้ในกลับว่าด้วยสิทธิสตรี ไม่แน่ใจว่าด้วยเหตุนี้หรือเปล่าที่หนังไม่ทำเงินเท่าที่คิด ทั้งที่เป็นหนังฟอร์มยักษ์ทุนสร้าง 100 ล้านเหรียญ แสดงโดยนักแสดงชื่อดัง และกำกับโดยผู้กำกับชื่อดัง




[spoil alert ระวังสปอยล์บรรทัดต่อจากนี้ สำหรับใครที่ไม่อยากรู้เลยว่าเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร ให้เลื่อนผ่านเลย ส่วนตัวผมคิดว่าพล็อตของหนังเรื่องนี้สั้นมาก และไม่ได้เป็นความลับอะไร ไม่มีผลต่อการดู ตัวอย่างหนังเล่าไว้หมดแล้วด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม บางคนอาจคิดว่าสิ่งที่ผมจะเขียนต่อไปนี้คือการสปอยล์ ผมจึงเขียนเตือนไว้ก่อน]


พล็อตสั้น ๆ หนังเล่าถึงเรื่องจริงที่ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส เหตุการณ์เกิดช่วงศตวรรษที่ 14 ตัวละครหลักคือสองเพื่อนรักอัศวินนักรบที่เคียงบ่าเคียงไหล่กันในสนามรบ เมื่อเวลาผ่านไป คนหนึ่ง "ฌอง เดอ คารูจส์" ยังคงเป็นอัศวินออกรบอยู่มิขาด อีกคนหนึ่ง "ฌาร์ค เลอ กรีส์" กลายเป็นมือขวาคนสนิทของท่านเคาน์ผู้เสเพลทั้งสุราและนารี วันหนึ่งทั้งคู่เกิดบาดหมางกันเพราะ "เลอ กรีส์" ถูกกล่าวหาว่าข่มขืนภรรยาสุดสวยของ "คารูจส์" เธอมีนามว่า "มาเกอร์ริต" คดีความยืดเยื้อและเหมือนจะไม่มีใครเชื่อว่าเธอถูกข่มขืนจริง สุดท้าย "คารูจส์" ตัดสินใจขอใช้วิธีการตัดสินคดีความแบบที่เรียกว่า Duel to the Death (ดวลกันจนตายไปข้างหนึ่ง) เพื่อพิสูจน์ว่า "เลอ กรีส์" คือชายชั่วที่ย่ำยีภรรยาของเขา


สารภาพว่าผมไม่ถนัดหนังแนวพีเรียดต่อสู้อะไรแบบนี้เลย เพราะรู้สึกว่าแต่งตัวคล้ายกันไปหมดจนจำตัวละครไม่ได้ แต่เรื่องนี้ดูง่าย เพราะสาระไม่ได้อยู่ที่การรบพุ่งกัน ตัวละครหลักมีแต่ 3 คน หนังแบ่งเป็น 3 องก์ เล่าเรื่องเดิมจาก 3 มุมมองของตัวละครหลัก ทำให้เห็นมุมมองที่แต่ละคนก็มองในมุมตัวเอง


ใครคาดหวังจะได้ดูฉากบู๊มันส์ ๆ อาจผิดหวัง เพราะมีแค่ช่วงท้ายเท่านั้น นอกนั้นความสนุกจะอยู่ตรงที่เราได้เห็นบริบทอื่น ๆ ของสังคมตะวันตกเมื่อประมาณ​ 600 ปีก่อน ทั้งเรื่องความเป็นใหญ่ของชาย เรื่องผู้หญิงที่เป็นเพียงสมบัติ เรื่องการรีดเก็บส่วยจากผู้ครองอาณาจักรที่สร้างความลำบากให้ผู้ถูกปกครอง เรื่องการตกเป็นขี้ปากของคนชอบนินทา


เอาจริงผมคิดว่าพล็อตเรื่องประมาณนี้สามารถปรับเปลี่ยนได้ทั้งยุคสมัยและสถานที่ ในความหมายว่า ถ้าเปลี่ยนจากหนังฝรั่งเป็นหนังจีน เปลี่ยนจากเมื่อ 600 ปีก่อน เป็นยุคสมัยสัก 200 ปีในไทย หรือแม้จะปรับนิดหน่อยให้เป็นเหตุการณ์ปัจจุบัน ก็ยังนำพล็อตเรื่องนี้มาสร้างเป็นหนังได้ เพราะแก่นของมันว่าด้วยสิ่งที่มนุษย์ไม่ค่อยเปลี่ยน อย่างเช่น ความไว้ใจ การหักหลัง ความมัวเมาลุ่มหลง การใช้อำนาจกดขี่ การโกหกเพื่อปกป้องตัวเอง การต้องพิสูจน์ความถูกต้องของตัวเองให้สังคมยอมรับ


เรื่องนี้ให้ 8/10 ครับ ติดที่หนังยาวไปหน่อย (2 ชั่วโมงครึ่ง)


8.Scream 5 (In Theatre)

ประเดิมดูหนังเรื่องแรกในโรงของปี 2022 ด้วยเรื่องนี้ ผมไปดูแบบไม่รู้อะไรเลย (ตอนแรกเข้าใจว่า remake หนังเก่าปี 1996 แต่จริง ๆ คือหนังภาค 5) แค่อ่าน user review คร่าว ๆ ใน imdb คะแนนออกไปในทางชื่นชม ก็เลยตัดสินใจไปดู กะว่าจะย้อนยุค 90s สักหน่อย



ผลคือ "เฉย ๆ" หนังเลือดสาดปาดคอตามสไตล์ slasher film คือทำได้มาตรฐาน เพียงแต่ผมคิดว่าถ้าเป็นแฟนพันธุ์แท้คงจะสนุกกว่านี้ เพราะมีการอ้างถึงตัวละครและเหตุการณ์เดิม (ผมเคยดู แต่ก็ลืมไปหมดแล้ว จึงแอบงง ๆ นิดหน่อย) รวมถึงหากใครเป็นแฟนหนังแนวนี้ก็จะน่าสนุกขึ้นไปอีก เพราะในหนังพูดถึงหนังเรื่องอื่น ๆ ไว้ด้วย เช่น Psycho, Friday the 13th (ตอนขึ้นเครดิตจบ ผมเพิ่งจะรู้ว่า Wes Craven ผู้กำกับ Scream 4 ภาคก่อนหน้านั้นเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2015)


สรุป ใครชอบหนังโหด ๆ เลือดสาด ไม่ต้องคิดมากถึงความสมเหตุสมผล เรื่องนี้น่าจะตอบโจทย์ แต่ถ้าใครไม่เคยดู Scream มาก่อน อาจจะมีงง ๆ ว่าเขาพูดอะไรกัน ส่วนผมดีใจที่ครั้งนี้เดาถูกว่าใครคือฆาตกร ก็อยู่ในโปสเตอร์นี้เหมือนกับที่คำโปรยบอกไว้นี่แหละ


เรื่องนี้ไม่ขอให้คะแนน เพราะผมไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้หนังเรื่องนี้


9.Spencer (In Theatre)

โปสเตอร์สวย หนังสวยมาก เรียกว่าทุกช็อตคิดองค์ประกอบภาพมาอย่างดี ดนตรีโดย Jonny Greenwood แห่ง Radiohead งดงาม กดดัน หม่นเศร้า เปียโน เครื่องสาย เครื่องเป่า



พล็อตเรื่องว่าด้วยช่วงเวลาสั้น ๆ 3 วันในปลายปี 1991 (Christmas Eve, Christmas Day, และ Boxing Day) ของเจ้าหญิงไดอาน่า เป็นช่วงเวลาแห่งความสับสนในชีวิต ชีวิตคู่ที่แตกร้าว ชีวิตในวังที่หรูหราแต่น่าอึดอัด และชีวิตที่ต้องตกเป็นจุดสนใจของสื่ออยู่ตลอดเวลา ตัวหนังเล่นสัญลักษณ์ต่าง ๆ ให้ตีความไม่ยากนัก ทั้งขับรถหลงทาง กินซุปสร้อยคอไข่มุก หุ่นไล่กา บ้านเก่า กิจกรรมยิงนกของชนชั้นสูง รวมถึงประโยคคม ๆ อย่าง "ที่นี่มี Tense เดียว ไม่มี Future ส่วน Past กับ Present นั้นก็เหมือน ๆ กัน"


ส่วนตัวผมคิดว่าเนื้อเรื่องบางไปหน่อย (เพราะเล่าแค่เหตุการณ์ 3 วัน และเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมา) แต่เสน่ห์ในความงามเศร้าของนักแสดงนำอย่าง Kristen Stewart ที่แบกทั้งเรื่องเอาไว้ ก็ทำให้หนังน่าดูตลอดทั้งเรื่อง ผมละสายตาจากเธอไม่ได้เลย


ความสวยงามที่น่าอิจฉาเมื่อมองจากภายนอก แต่ใครเล่าจะรู้ว่าภายในนั้นเต็มไปด้วยความทุกข์ระทม ก็คงไม่ต่างกับโปสเตอร์หนังที่สวยงามอย่างที่เราเห็น ทั้งที่จริงฉากนี้ในหนัง คือตอนที่ไดอาน่ากำลังอาเจียนอยู่หน้าโถส้วม


เรื่องนี้ให้ 8/10 ครับ


10.Never Rarely Sometimes Always (HBO GO)

ได้ยินชื่อเสียงชื่นชมมาเป็นปี แต่หาดูไม่ได้ เพิ่งรู้ว่ามีให้ดูใน HBO GO พอได้ดูจบก็ชอบเลย สมแล้วที่นักวิจารณ์ยกให้เป็นหนังแห่งปี กวาดรางวัลเวทีอินดี้หลายงาน เล่าสั้น ๆ แบบไม่สปอยล์ หนังเล่าเรื่องของสาววัยรุ่นอายุ 17 ปี วันหนึ่งเธอตรวจพบว่าตั้งครรภ์ และไม่สามารถบอกให้ใครรู้ได้ เธอจึงตัดสินใจปรึกษาคลินิกเพื่อทำแท้ง แต่เรื่องราวไม่ง่ายอย่างนั้น และทำให้เธอต้องออกเดินทางไปเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์ค



ส่วนตัวผมชอบในความเรียลของหนัง กล้องโคลสอัพหน้านักแสดง ตามติดการเคลื่อนไหว ไม่เน้นภาพสวย การเดินเรื่องอาจไม่เหมาะสำหรับคนชอบอะไรโฉ่งฉ่าง ตื่นเต้น หักมุมแบบหนังฮอลีวู้ด เพราะหนังเล่าไปเรื่อย ๆ ตามสไตล์หนังทุนต่ำ แต่ไม่น่าเบื่อ ไม่งง ถ้าใครชอบหนังอินดี้นิด ๆ เน้นอารมณ์นักแสดง เหมือนได้แอบตามดูชีวิตคนจริง ๆ เรื่องนี้น่าจะชอบครับ มีนักแสดงหลัก ๆ อยู่แค่ 2-3 คนเท่านั้น ผมชอบน้องนักแสดงหลัก Sidney Flanigan เธอเล่นเรื่องนี้เรื่องแรก แต่เข้าถึงอารมณ์สุด ๆ


สรุป เป็นหนังที่เล่าเรื่องการทำแท้งได้ขึงขัง จริงจัง ไม่เศร้าบีบคั้น แต่ก็ตรงเข้าหัวใจ เรื่องนี้ให้ 8/10 ครับ


11.The Summit of the Gods (Netflix)

หนังอนิเมชั่นแนะนำครับ ดีมาก สนุกมาก ภาพสวยมาก ชอบคำนิยมที่เขียนบนโปสเตอร์นี้ "Takes Animation to New Heights" มีสองความหมายซ่อนอยู่ในนั้น หนึ่ง นี่คืออนิเมชั่นที่เล่าถึงนักปีนเขาเอเวอร์เรสต์ ทั้งที่มีตัวตนจริง และจินตนาการขึ้นมา และสอง นี่คืออนิเมชั่นที่ยกระดับวงการไปอีกขั้น ดูแล้วสมจริง ให้ความรู้สึกไม่ต่างกับคนแสดง

พล็อตเรื่องสั้น ๆ แบบไม่สปอยล์ หนังเล่าเรื่องในอดีตคู่ขนานไปกับปัจจุบัน จนมาบรรจบพบกันในที่สุด ปัจจุบันคือเล่าถึง "ฟุจิตะ" ช่างภาพที่ติดตามคณะนักปีนเขาเพื่อเก็บรูปถ่ายที่อาจเป็นประวัติศาสตร์หากมีใครทำสถิติใหม่ ๆ ได้ วันหนึ่งฟุจิตะเหมือนได้เห็น "ฮาบุ" นักปีนเขาชื่อดัง ผู้หายตัวไปจากวงการปีนเขาหลายปี ซึ่งหนังจะเล่าย้อนไปในอดีตถึงชีวิตของฮาบุว่าเกิดอะไรขึ้น ที่สำคัญดูเหมือนว่าฮาบุจะมีกล้องถ่ายรูปของนักปีนเขาในตำนานผู้สาบสูญ (มีตัวตนจริง) ชื่อ จอร์จ มัลโลรี่ ในกล้องนี้มีรูปถ่ายสำคัญ นั่นจึงทำให้ฟุจิตะออกตามหาว่าฮาบุอยู่ที่ไหน ความเจ๋งของเรื่องนี้ที่ผมชอบอย่างแรกก็คือ ภาพสวยมาก เทือกเขา หิมะ งดงามไม่แพ้ภาพจริง ตัวละครก็วาดได้ดี มีแคแรกเตอร์ อย่างต่อมาที่ชอบก็คือการเล่าเรื่องที่สนุก ขนาดผมไม่เคยสนใจเรื่องปีนเขา ก็ยังชอบมาก ดูแล้วลุ้นไปกับหลายฉาก และอย่างสุดท้ายที่ชอบก็คือปรัชญาแง่คิด หลายคนสงสัยว่านักปีนเขาจะเหนื่อยปีนขึ้นไปบนนั้นทำไม ทั้งที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย และหลายครั้งก็ไม่มีใครรู้ถึงความสำเร็จนั้น หนังเรื่องนี้ตอบประเด็นนี้ได้ดี เชื่อว่าใครมีประสบการณ์ปีนเขา ปีนหน้าผา ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ น่าจะดูแล้วยิ่งอินเป็นพิเศษ ส่วนใครไม่มีประสบการณ์ปีนเขาแบบผม เรื่องนี้ก็ยังสนุก มีฉากแอ็คชั่นให้ลุ้น มีฉากประทับใจให้เก็บไปคิด อยากให้ดูมากครับเรื่องนี้ ผมชอบเลยล่ะ ให้ 9/10 ครับ


12.All of Us are Dead (Netflix)

ซีรีส์เกาหลี 12 ตอน 12 ชั่วโมง เรื่องนี้โหด มัน(ส์) ฮา ครบสูตร พล็อตเรื่องแบบไม่สปอยล์ เรื่องราวเดินตามสูตรหนังซอมบี้ ใครบางคนกลายเป็นซอมบี้ด้วยเหตุบางอย่าง แล้ววิ่งไล่กัดคนอื่นจนกลายเป็นซอมบี้ไปเรื่อย ๆ ความสนุกลุ้นระทึกจึงอยู่ที่การเฝ้าดูกลุ่มตัวละครหลักติดอยู่ในพื้นที่ปิด และต้องหาทางออกไปให้ได้ เพียงแต่เรื่องนี้เขาหาเหลี่ยมมุมได้ดี (สร้างจากการ์ตูนใน webtoon) จับพล็อตวัยรุ่นวุ่นรักมาผสมกับซอมบี้ ก็เลยกลายเป็นหนังมัธยมซอมบี้ (ชื่อไทยตั้งดีมาก ตรง ๆ เข้าใจทันที) ที่เป็น pop culture ฮิตไปทั่วโลก ต้องยอมเกาหลี เขาเก่งจริง ๆ



จุดที่ผมชอบคือ หนังออกแบบฉากได้มีสไตล์มาก ระดับโลกต้องจำ ฉากโรงอาหารที่ถ่ายลองเทค (ถ่ายยาว ไม่ตัด) ฉากห้องสมุด เป็นฉากที่คิดและวางแผนมาอย่างดี มุมกล้องดีมาก ขยันหามุมมองใหม่ ๆ ให้ได้ตื่นเต้นไปกับตัวละคร ซอมบี้ก็น่ากลัวมาก เคลื่อนไหวเร็วมาก แถมชอบเดินตรงมาที่กล้อง ชนิดที่ว่าถ้าเป็นหนัง 3-4 มิติ มีร้องกรี๊ดได้เหมือนกัน


อีกจุดที่ชอบคือ นักแสดงในเรื่องเล่นดีมีเสน่ห์ แคแรกเตอร์น่าจดจำทุกคน แม้จะมีตัวละครหลักเป็นสิบ แต่เราก็จำได้ทุกคน นางเอก หัวหน้าห้อง พี่สาวนักยิงธนู (ผมดูเบื้องหลัง แต่ละคนหน้าตาดีกว่าในซีรีส์อีก นับถือในความไม่ห่วงหล่อห่วงสวยในเรื่องเลย)


และอีกจุดที่ชอบ ผมชอบที่หนังมีช่วงผ่อนคลายให้หายเครียด แทรกมุกตลก มีฉากซึ้งทั้งในมุมเพื่อนและความรักหนุ่มสาว ถือว่าได้หายใจหายคอในฉากแบบนี้ รวมถึงชอบที่ไปแตะเรื่องผู้ใหญ่กับเด็ก นักการเมือง ทหาร มีประโยคคม ๆ หล่นแทรกอยู่ในหลายฉาก เรียกว่าไม่เอามันส์อย่างเดียว แต่แทรกสาระด้วย


ส่วนจุดที่ไม่ชอบสำหรับผมก็คือ คิดว่าซีรีส์ยาวไปหน่อย เอาจริงสัก 6-7 ตอนก็เล่าเรื่องได้ครบแล้ว แถมบางฉาก (ตอนช่วงซึ้ง ๆ) ผมรู้สึกอารมณ์หนังอืด ๆ ช้า ๆ หน่อย สารภาพว่าผมกดเร่งความเร็วเป็น 1.25x อันนี้อาจเป็นแค่ผมคนเดียว สงสัยวัยรุ่นใจร้อน หรือไม่ก็พ้นวัยอินเลิฟแบบเด็ก ๆ แล้ว


สรุป เป็นหนังซอมบี้ที่เดือดมาก โหดมาก มันส์มาก รุนแรงมาก แทรกด้วยความตลก ความซึ้งแบบมิตรภาพและความรักวัยรุ่น และออกจะยาวไปหน่อย คู่ควรแล้วที่ซีรีส์เรื่องนี้จะดังติดอันดับ 1 ยาวนาน แต่คิดว่าน่าจะไม่เป็นกระแสเท่ากับ Squid Game ที่ตั้งใจออกแบบทุกองค์ประกอบให้กลายเป็นแฟชั่นที่ทุกคนทำตามได้


เรื่องนี้ให้ 8/10 ครับ


13.The Florida Project (Netflix)

ดีมาก ชอบมาก เป็นหนังปี 2017 เข้าชิงและกวาดรางวัลหลายเวที แต่ผมไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน อ่านรีวิวใน imdb แล้วลองกดดู ผลคือดีเกินคาด ชื่อเรื่อง "The Florida Project" ชื่อไทยตั้งดีมาก "แดน (ไม่) เนรมิต"



พล็อตเรื่องคร่าว ๆ แบบไม่สปอยล์ หนังเล่าเรื่องของ "มูนี่" เด็กหญิงวัย 6 ขวบ เธออาศัยอยู่กับแม่เลี้ยงเดี่ยววัยรุ่น สองแม่ลูกเช่าโมเต็ลราคาถูกอยู่ใกล้ ๆ กับดิสนีย์เวิลด์ ฟลอริดา แม่เธอเคยเป็นสาวเต้นยั่วกลางคืน แต่ตอนนี้ตกงาน ไม่ค่อยมีเงิน แม้จะอยู่ใกล้ดิสนีย์เวิลด์แค่เอื้อม แต่มูนี่ก็ไม่เคยเข้าไปในนั้น ก็ขนาดค่าห้องแม่ยังจ่ายช้า แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนไปซื้อตั๋วแสนแพง แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเด็กอย่างมูนี่ เพราะเธอมีเพื่อนเด็ก ๆ วัยเดียวกันอยู่ 2-3 คน วันทั้งวันแค่หาอะไรเล่นไปเรื่อยเปื่อยก็สนุกแล้ว


เล่าไว้ประมาณนี้ก็แล้วกัน ที่เหลือต้องลองดูต่อเอง โทนหนังไม่ใช่หนัง feel good แต่ก็ไม่หดหู่บีบคั้น ไม่มีฉากน่ากลัว นำแสดงโดยเด็ก แต่ไม่ใช่หนังเด็ก มีคำหยาบอยู่เป็นระยะ หนังเรื่องนี้ไม่เหมาะกับคนชอบดูหนังแมส ตื่นเต้น เรื่องราวใหญ่โต มีจุดเปลี่ยนรุนแรง เพราะที่ว่ามานี้ไม่มีในหนังเรื่องนี้เลย


The Florida Project เล่าเรื่องไปเรื่อย ๆ เหมือนแอบดูชีวิตของคนในโมเต็ลแห่งนี้ เราจะได้เห็นผู้เช่ารายอื่น ๆ เห็นผู้จัดการโมเต็ล เห็นนักท่องเที่ยว จนกระทั่งท้าย ๆ เรื่องนั่นแหละครับ ถึงจะมีจุดเปลี่ยน ซึ่งก็ดูแล้วเป็นเรื่องที่เกิดได้ในชีวิตจริง หนังเรื่องนี้จึงคล้าย ๆ ดูสารคดีอยู่บ้าง เว้นก็แต่ฉากจบ ซึ่งบางคนอาจเหวอ ว่าเอาอย่างนี้เลยรึ? แต่ผมชอบ ชอบมาก เข้าใจคิดฉากจบจริง ๆ


ที่ผมชื่นชมสุด ๆ คือนักแสดง เด็ก ๆ ในเรื่องทำไมแสดงเก่งแบบนี้ อายุแค่ 6-8 ขวบ เล่นหนังได้แล้ว เป็นธรรมชาติมากจนเหมือนไม่ได้แสดง สุดจริง ๆ ครับ ส่วนนักแสดงที่เล่นเป็นคุณแม่ยังสาว ก็เพิ่งเล่นหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก แต่แบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้ดีมาก นับถือจริง ๆ เรื่องนี้มีดาราดังอยู่แค่คนเดียวคือ Willem Dafoe เล่นเป็นผู้จัดการ


สรุป ใครชอบในความเรียล ชอบหนังค่าย A24 (จัดจำหน่าย) ชอบดูหนังสะท้อนเรื่องครอบครัว น่าจะชอบ เรื่องนี้ให้ 9/10 ครับ


14.One for the Road (In Theatre)

"One for the Road : วันสุดท้าย...ก่อนบายเธอ" กำกับโดย "บาส นัฐวุฒิ" ผู้กำกับหนังพันล้าน "ฉลาดเกมส์โกง" อำนวยการสร้างโดย "หว่องกาไว" ผู้กำกับระดับตำนาน ผลออกมาเป็นหนังภาพสวยเท่อาร์ตแสงสไตล์หว่อง แต่กระชับฉับไวดูง่ายสไตล์ ผกก.บาส



พล็อตเรื่องคร่าว ๆ แบบไม่สปอยล์ "อู๊ด" กับ "บอส" สองเพื่อนสนิทคนไทยวัย 30 ปีที่เคยรู้จักกันที่นิวยอร์คเมื่อ 10 ปีก่อน วันนี้ต้องขับรถออกเดินทางไปด้วยกัน โคราช สมุทรสงคราม เชียงใหม่ นครสวรรค์ พัทยา เนื่องจากอู๊ดป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เหลือเวลาอีกไม่มาก เขาอยากกลับไปหาแฟนเก่า (ส์) เพื่อคืนของบางอย่างให้...เพื่อเก็บเป็นความทรงจำครั้งสุดท้าย


เล่าไว้ประมาณนี้ครับ ที่เหลือต้องดูก่อนจะโดนสปอยล์ เพราะหนังมีจุดหักมุมที่สำคัญ โดยรวมผมชอบบรรยากาศ ชอบที่หนังค่อย ๆ อุ่นเครื่องจากบรรยากาศสบาย ๆ ติดตลก แล้วค่อย ๆ ดราม่าขึ้นเรื่อย ๆ จนคลี่คลายตอนจบ


ชอบงานด้านภาพ สวยทุกฉาก (แอบโปรโมทเมืองไทยได้อย่างสวยงาม) ชอบนักแสดงเล่นดีทุกคน (โดยเฉพาะสองนักแสดงหลัก "ต่อ" กับ "ไอซ์ซึ" ไม่ธรรมดา) ชอบที่ใช้เพลงสากลยุค 60s-70s เป็นเพลงประกอบ (One is the Loneliest Number-Three Dog Night/Tiny Dancer-Elton John/Dreamer-Supertramp/Father and Son-Cat Stevens/Time is on My Side-The Rolling Stones)


ส่วนที่ไม่ชอบนิด ๆ ก็คือรู้สึกพล็อตมีควา