top of page

21 หนัง/ซีรีส์ ที่ชอบที่สุดในปี 2021

ตอนสิ้นปี 2020 ผมคิดว่าจากนี้ไปคงได้เวลากลับเข้าโรงหนัง ได้ดูหนังในโรงอีกครั้ง แต่ใครจะคิดว่าปี 2021 กลับกลายเป็นอีกปีที่เราต้องอยู่กับบ้าน รับมือกับโควิด-19 (อีกแล้ว) จนกระทั่งกลายเป็นความเคยชินสำหรับผมไปแล้วที่จะนั่งดูหนังอยู่กับบ้านผ่านบริการ Streaming ทั้งหลาย ปีนี้จึงเข้าโรงหนังแบบนับครั้งได้ พลาดหนังดี ๆ หลายเรื่องที่คิดว่าถ้าได้ดู ก็คงจะชอบ (เช่น Drive My Car, The Green Knight, West Side Story)


อย่างไรก็ตาม นับเป็นโชคดีที่มีหนังและซีรีส์ดี ๆ หลายเรื่องให้เราได้ดูอยู่กับบ้าน (นำโดย Netflix และการมาถึงของ Disney+) ผมพบของดีมากมายทั้งหนังเก่าและใหม่


ในบรรดาหนังและซีรีส์ประมาณ 100 เรื่องที่ได้ดูในปีนี้ นี่คือ 21 หนัง/ซีรีส์ ที่ผมดูแล้วชอบที่สุดครับ (ไม่ได้เรียงตามลำดับความชอบ)


1.Pieces of Woman (Netflix)


หนังที่ทรงพลัง สอนให้เรารู้จักให้อภัยอดีต แค่เพียง 30 นาทีแรกก็คุ้มที่จะดูแล้ว ฉากลองเทค 22 นาที ไม่ตัดต่อ ยาวเท่าเวลาจริง เราจะได้เห็นช่วงเวลาของการคลอดเด็ก (ที่บ้าน) ตั้งแต่น้ำเดิน ปวดบีบสลับกับคลาย เครียด กังวล โทรเรียก Midwife (พยาบาลผดุงครรภ์หรือหมอตำแย) และขั้นตอนของการลุ้นให้เด็กออกมาดูโลก ...ต้องปรบมือให้กับนักแสดงที่แสดงได้เหมือนมาก (รวมถึงกล้องที่คอยถ่ายตามติดตัวละครได้ทุกซอกมุมของบ้าน)


แต่นั่นคือแค่ 30 นาทีแรกของหนัง ยังมีอีก 1 ชั่วโมงกว่า ๆ ที่เรื่องราวจะเกิดขึ้นต่อจากเหตุการณ์หลังคลอด อารมณ์ของหนังอาจไม่ตื่นเต้นเท่าตอนแรก ทำให้บางเสียงวิจารณ์บอกว่าเบื่อ แต่ส่วนตัวผมกลับชอบมาก มันค่อย ๆ เล่าถึงชีวิตที่เปลี่ยนแปลง ความขัดแย้งในครอบครัว ปมที่มีมาแต่หนหลัง ไปจนถึงการเรียนรู้ที่จะยอมรับและให้อภัย


อีกอย่าง (จริง ๆ หลายอย่าง) ที่ดีมากของหนังเรื่องนี้ก็คือ องค์ประกอบอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นสัญลักษณ์ต่าง ๆ เช่น สะพานข้ามแม่น้ำที่กำลังสร้าง เมล็ดแอปเปิ้ลที่เก็บไว้ ฤดูกาลที่ผันเปลี่ยน ดนตรีประกอบที่เพราะมาก ทั้งหมดนี้ยังไม่นับบทสนทนาที่เข้าใจคิดเข้าใจเขียน รวมถึงเสน่ห์ของดารานำฝ่ายหญิงอย่าง Vanessa Kirby


เธอคือคนที่ผมคิดว่ามีใบหน้าที่เท่และสวยที่สุดคนหนึ่งในวงการนักแสดงครับ


2.The Sinner (Netflix)



นี่คือซีรีส์ประเภทที่เรียกว่า binge watch คือหยุดดูไม่ได้ ขนาดผมผู้ใจแข็ง ไม่เคยดูเรื่องไหนเกินวันละ 1 อีพี ยังเสร็จเรื่องนี้ ดูไป 3 อีพีรวดใน 1 วัน พล็อตคือนางเอก (Jessica Biel สวย เซ็กซี่ ภรรยา Justin Timberlake แสดงดีมากแบบทุ่มทุนสร้าง แบกทั้งเรื่องไว้) จู่ ๆ วันหนึ่งขณะพักผ่อนอยู่ชายทะเลกับสามีและลูกเล็ก เธอได้ยินเสียงกลุ่มวัยรุ่นเปิดเพลง และจู๋จี๋คลอเคลียกัน ทันใดนั้นเหมือนต้องมนต์ เธอเหมือนสติหลุด เดินตรงไปแล้วเอามีดแทงวัยรุ่นชายไม่ยั้ง จนเสียชีวิตคาที่ ประเด็นก็คือเธอคือฆาตกรแบบไม่ต้องสงสัย แต่คำถามคือ แม้แต่เธอเองก็ตอบไม่ได้ว่าเธอทำแบบนั้นทำไม? เรื่องราวจากนั้นที่เหลือก็คือการสืบสวนค้นลึกเข้าไปทั้งในจิตใจเธอและแวดล้อมอื่น ๆ เพื่อหาเหตุจูงใจให้เจอ


ความเจ๋งของหนังคือค่อย ๆ เล่าย้อนอดีตให้เราปะติดปะต่อเอาเอง แถมยังไม่รู้ด้วยว่าภาพย้อนหลังอันไหนจริงอันไหนหลอก บทหนังแข็งแรง คุมโทนอยู่หมัด พอเฉลยเรื่องทั้งหมดแล้วค่อนข้างสมเหตุสมผล อธิบายชื่อเรื่อง The Sinner ได้ดี มีความจิตวิทยาอยู่สูง ปมพ่อปมแม่ ปมเพศ การสะกดจิต จิตใต้สำนึก การระลึกอดีต มาหมด


หนังสนุกครับ แต่ละอีพีไม่ยาว 40 นาทีกำลังดี ซีซั่นแรกมี 8 ตอน (มีทั้งหมด 3 ซีซั่น แต่ผมแนะนำแค่ซีซั่นแรก)


3.Reply 1988 (Netflix)


เชยไปหน่อยที่ผมเพิ่งได้ดูเรื่องนี้ เพราะเขาฮิตกันนานแล้ว แต่ก็อยากชวนทุกคนให้ดูซีรีส์เกาหลีเรื่องนี้จริง ๆ ครับ ดีมากสมคำร่ำลือ มีซีรีส์หลายเรื่องที่ผมดูแล้วรู้สึกตื่นเต้น รู้สึกลุ้น รู้สึกได้พลังใจ แต่นี่คือเรื่องแรกที่ดูแล้ว "รู้สึกรักในตัวละครทุกตัว" เหมือนกับพวกเขามีชีวิตอยู่จริงและเป็นเพื่อนกับเรา ผมดูแล้วหัวเราะทุกตอน น้ำตาไหลทุกตอน และบางฉากหัวเราะจบแล้วซึ้งจนน้ำตาไหลก็มี ขอคารวะทีมผู้สร้างซีรีส์เรื่องนี้จริง ๆ เก่งมาก


หนังเล่าย้อนไปในปี 1988 เล่าถึงเรื่องราวของ 5 ครอบครัวธรรมดา ๆ ที่อยู่ซอยเดียวกัน สนิทกันทั้งรุ่นพ่อแม่และรุ่นลูก มีทั้งครอบครัวที่ยากจนเพราะเคยไปค้ำประกันให้คนอื่น มีทั้งครอบครัวที่ร่ำรวยขึ้นมาเพราะถูกล็อตเตอรี่ มีทั้งครอบครัวที่สูญเสียพ่อหรือแม่ไป ส่วนรุ่นลูก ๆ ก็มีทั้งวัยรุ่นเด็กเรียน เด็กซุกซน เด็กเฮฮา เด็กขี้อาย เรียกว่าคาแรกเตอร์หลากหลาย


ความเจ๋งของซีรีส์เรื่องนี้ก็คือ เรื่องราวแต่ละตอนไม่มีเหตุการณ์อะไรใหญ่โตมโหฬารเลย มันเป็นแค่เรื่องราวธรรมดา ๆ ที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน เช่น ความน้อยใจของลูกคนกลาง การแอบชอบเพื่อนในกลุ่ม ความวุ่นวายในครอบครัวที่มีแต่ผู้ชายเมื่อแม่ต้องไปต่างจังหวัด การสูญเสียญาติผู้ใหญ่ ผัวเมียไม่เข้าใจกัน พ่อแม่ไม่เข้าใจลูก พี่น้องทะเลาะกัน แต่หนังกลับเล่าเรื่องราวธรรมดา ๆ เหล่านี้ออกมาได้ไม่ธรรมดา ทั้งตลก ทั้งซึ้ง ทั้งให้แง่คิด


ข้อดีของการดูหนังดูละคร ก็คือ เรามีโอกาสได้สวมทับเป็นตัวละครนั้น ๆ ได้พอรู้คร่าว ๆ ว่าคนแต่ละแบบคิดอะไรอยู่ รู้สึกอย่างไร Reply 1988 จึงตอบโจทย์เรื่องนี้ได้อย่างดี เพราะมีตัวละครที่แตกต่างกันถึง 15 คนให้เราได้เรียนรู้ ทั้งในมุมของพ่อ แม่ ลูก สามี ภรรยา เพื่อน สะใภ้ แม่ยาย วัยรุ่น คนแก่


ส่วนตัวผมคิดว่าคนที่น่าจะอินกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ น่าจะเป็นคนรุ่นอายุ 40 กลาง ๆ ขึ้นไปจนถึง 50 ต้น ๆ เพราะวัยใกล้เคียงกับกลุ่มวัยรุ่นในเรื่อง เกิดทันยุคเช่าวิดีโอ เล่นรูบิก ฟังวอล์คแมน เขียนจดหมายหาดีเจรายการวิทยุ ดูการแข่งวิ่ง 100 เมตรของคาร์ล ลูอิส และเบน จอห์นสัน ...และยิ่งถ้าคุณเป็นคนต่างจังหวัดที่โตมาในตลาด เพื่อนบ้านรู้จักกัน เข้าบ้านนั้นออกบ้านนี้เหมือนครอบครัวเดียวกัน รับรองว่าเรื่องนี้โดนใจแน่ ๆ เพราะสภาพแวดล้อมในเรื่องคล้ายกับสังคมไทยมาก ๆ (แต่น่าแปลก ผมรู้จักซีรส์เรื่องนี้จากการแนะนำของวัยรุ่นอายุ 20 ต้น ๆ)


อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้อาจไม่เหมาะกับนักดูหนังสายซีเรียส สมจริง เนื่องจาก Reply 1988 ตั้งใจทำให้ออกมาในแนว sitcom มีมุกฮา มีเอฟเฟกต์เสียงแพะรับมุก แต่ถ้าใครอยากอารมณ์ดี มีความสุข แนะนำเรื่องนี้เลยครับ ดูพร้อมกันทั้งครอบครัวยิ่งสนุกมาก


แม้ว่าแต่ละตอนจะยาวถึงชั่วโมงกว่า ๆ แต่เราจะรู้สึกว่าผ่านไปเร็วมากครับ


4.Minari (In Theatre)


เข้าชิงออสการ์ 6 รางวัล เกิดมาผมเพิ่งเคยดูหนังเรื่องเดียวกัน 2 รอบในวันเดียวกัน รอบแรกดูแล้วรู้สึกเฉย ๆ แต่พอทิ้งไว้สักพัก เกิดอยากเก็บรายละเอียด เลยดูอีกรอบ ทีนี้ชอบเลย ชอบมาก หนังซ่อนอะไรไว้หลายจุดให้เราสังเกตเอาเอง


เรื่องราวของครอบครัวเกาหลีที่อพยพไปสร้างชีวิตใหม่ที่อเมริกา คนพ่อเลี้ยงดูครอบครัวด้วยอาชีพคัดแยกเพศลูกเจี๊ยบ แต่หลังจากทำงานนี้อยู่หลายปี ก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะทำให้ครอบครัวมีชีวิตที่ดีกว่านี้ได้อย่างไร เขาจึงพาครอบครัวย้ายไปอยู่ชนบท ที่ราคาที่ดินถูก เพื่อที่เขาจะได้ทำไร่ปลูกผัก ส่งขายร้านขายอาหารเกาหลีในอเมริกา นี่คือความหวังครั้งใหม่ของเขาที่จะพาให้ครอบครัวมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม แต่ปัญหาก็คือภรรยาของเขาไม่เห็นด้วยมาก ๆ เธอไม่อยากอยู่ชนบทไกลปืนเที่ยง เดินทางลำบาก จะพาลูกไปหาหมอก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมง


ผมเล่าเรื่องราวไว้ประมาณนี้ ที่เหลือลองไปดูต่อกันเอง โทนหนังไม่เครียด หลายฉากเลยที่คนดูหัวเราะลั่นโรงหนัง (โดยเฉพาะคู่ของยายกับหลานชาย) แต่แน่นอนว่าเราจะเห็นหลายฉากที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งของสามีภรรยาคู่นี้ ซึ่งจุดนี้เองที่ผมชอบมาก มันคล้ายจะบอกเราว่า ความรักของชายหญิงนั้นมีความหมายไม่เหมือนกัน สำหรับฝ่ายชาย ความรักอาจหมายถึงการทุ่มเททำงานหนัก ต้องร่ำรวยให้ได้ เพราะนั่นหมายถึงครอบครัวจะได้สุขสบาย (ในขณะเดียวกันก็อยากพิสูจน์ตัวเองว่า เกิดเป็นชาย ฉันต้องประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่อย่างนั้นก็ไร้ค่า) ในขณะที่ฝ่ายหญิง ความรักอาจหมายถึงการได้อยู่พร้อมหน้ากันทั้งครอบครัว มีเท่าที่มีก็พอแล้ว ความสำเร็จในครอบครัวต่างหากที่สำคัญที่สุด


ยังมีอีกหลายจุดที่อยากเล่า แต่ก็เกรงใจคนยังไม่ได้ดู ต้องลองดูเองครับ หนังไม่เหมาะสำหรับคนที่ชอบดูอะไรโฉ่งฉ่างชัดเจน มีขึ้นสุดลงสุดอะไรแบบนั้น เพราะบรรยากาศหนังจะเรื่อย ๆ เหมือนได้ตามดูชีวิตจริงของครอบครัวหนึ่ง แต่ไม่น่าเบื่อนะครับ เพราะปกติถ้าหนังนิ่ง ๆ นี่ผมหลับตลอด แต่เรื่องนี้ไม่หลับเลย ภาพสวยด้วย และดนตรีประกอบก็เพราะมาก


หวังว่าหนังเรื่องนี้จะลงจอ บนบริการ Streaming ให้เราได้ดูกันที่บ้านเร็ว ๆ นี้ ผมจะได้ดูซ้ำอีกรอบ



5.Sound of Metal (Prime Video)


เข้าชิงออสการ์ 6 รางวัล (เช่น หนังยอดเยี่ยม นักแสดงนำยอดเยี่ยม บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม) ดูได้ใน Prime Video (สตรีมมิ่งของ Amazon ทดลองดูฟรีได้ 7 วัน) หนังไม่เกี่ยวอะไรกับดนตรีหรือประวัติศาสตร์เพลงร็อค ชื่อเรื่องกับโปสเตอร์อาจชวนให้เข้าใจผิด เพราะประเด็นของหนังอยู่ที่ "เมื่อมีเรื่องร้ายผ่านเข้ามาในชีวิตอย่างไม่ทันตั้งตัว เราจะรับมือกับมันอย่างไร?"


นี่คือเรื่องราวของ "รูเบน" หนุ่มนักดนตรีมือกลองวงร็อค วันหนึ่งเกิดเหตุไม่คาดฝัน จู่ ๆ หูก็ดับ ความสามารถในการได้ยินลดลงอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นคนหูหนวกในที่สุด เล่นดนตรีต่อไปไม่ได้ ชีวิตเปลี่ยนในชั่วไม่กี่วัน ต้องเข้ามาอยู่ในชุมชนคนหูหนวก เริ่มฝึกภาษามือกับเด็ก ๆ ต้องทำใจให้ได้ว่าชีวิตจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย รูเบนพยายามพาตัวเองกลับมาอยู่ในชีวิตเดิมให้ได้ ความหวังของเขาคือการผ่าตัดใส่เครื่องช่วยฟัง เขาจะได้กลับไปหาแฟนสาวเพื่อเล่นดนตรีด้วยกันอีกครั้ง ...หนังดูไม่ยากครับ เรียบง่าย แต่มีแง่คิดที่ลึกซึ้งมาก นักแสดงนำที่เล่นเป็นพระเอกแสดงดีมาก ดวงตาของเขาสื่อความกังวล สับสนในชีวิตได้สมจริงจนรู้สึกได้


ถ้าจะสรุปเป็นประโยคสั้น ๆ ก็คือ เรื่องบางเรื่องเกิดขึ้น "เพื่อเรา" ไม่ใช่เกิดขึ้น "กับเรา" บางคนอาจบ่นว่าทำไมเรื่องนี้ต้องเกิดกับฉันด้วย แต่อันที่จริง เรื่องที่เกิดขึ้นกับเรานั้นมีเหตุผลบางอย่าง มันเกิดขึ้นเพื่อเรา ไม่ใช่เกิดขึ้นกับเรา


การดูรอบที่ 2 ทำให้ผมเข้าใจฉากสุดท้ายว่าทำไมหนังต้องใส่ภาพระฆังดังจากโบสถ์ เด็กชายฟลิปสเก็ตบอร์ด ท้องฟ้าที่มีไอพ่นของเครื่องบินพาดผ่าน สามภาพนี้แทบอธิบายหนังทั้งเรื่องได้เลย สุดยอดจริง ๆ


ถือเป็นหนังที่ผมประทับใจมากที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิต อยากชวนให้ดูครับ


6.The Father (In Theatre)



เข้าชิงออสการ์ 6 รางวัล โปสเตอร์เหมือนจะเครียด แต่จริง ๆ แล้วหนังทำได้น่าติดตามมาก ไม่เบื่อเลยสักฉาก แม้ว่าเกือบทั้งหมดของหนังจะเกิดขึ้นในห้องไม่กี่ห้องก็ตาม The Father เล่าเรื่องของสองพ่อลูก คนพ่อเป็นชายชราผู้ป่วยเป็นโรคภาวะสมองเสื่อม (Dementia) ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในห้อง และต้องได้รับการดูแลตลอด เพราะเขาจำอะไรไม่ค่อยได้ ส่วนลูกสาว ก็รับภาระหนัก กลางวันทำงาน ตกเย็นต้องกลับมารับช่วงต่อจากคนดูแลที่เธอจ้างไว้


เอาจริงพล็อตหนังมีเท่านี้เลยครับ แต่ความเจ๋งก็คือหนังจำลองอาการของคนเป็นโรคสมองเสื่อมได้เหมือนและน่าสะเทือนใจมาก ทั้งหลงลืม ย้ำคิดย้ำทำ สับสนผู้คน เวลา สถานที่ รวมถึงอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ซึ่ง Anthony Hopkins แสดงบทนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ อีกคนที่แสดงได้ดีมากก็คือ Olivia Colman เธอเล่นเป็นลูกสาวที่แบกรับความกดดันทั้งหมดเอาไว้ ใครเคยดูแลผู้ป่วยที่มีอาการแบบนี้จะเข้าใจเลยว่าเป็นงานหนักมากทั้งกายและใจ


บรรยากาศโดยรวมคล้ายดูละครเวที มีนักแสดงไม่กี่คน การเข้าออกของตัวละครและการเปลี่ยนฉากแต่ละครั้งมีความสำคัญกับเนื้อเรื่อง ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะบทหนังดัดแปลงจากบทละครเวที ถือเป็นหนังเช้าชิงออสการ์ที่ไม่ควรพลาด เต็มสิบไม่หัก


หวังว่าหนังเรื่องนี้จะลงจอ บนบริการ Streaming ให้เราได้ดูกันที่บ้านเร็ว ๆ นี้ครับ


7.A Sun (Netflix)


หนังไต้หวันยาว 2 ชั่วโมงครึ่ง ผมดูแบบไม่ลุกไปไหนเลย นี่คือพลังของการเล่าเรื่องที่ดึงดูดเราไว้ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เรื่องราวของครอบครัวชนชั้นกลางค่อนไปทางล่าง พ่อเป็นพนักงานสอนขับรถยนต์ แม่เป็นช่างเสริมสวยให้สาวบริการกลางคืน ลูกชายคนโตเป็นเด็กเรียน เรียบร้อย กำลังเตรียมสอบเข้าแพทย์ ลูกชายคนเล็กเกเร คบเพื่อนไม่ดี จึงนำไปสู่จุดเปลี่ยนแปลงของครอบครัวนี้


ผมเล่าแค่นี้ก่อน ไม่อยากสปอยล์เยอะ เพราะผมก็ดูเรื่องนี้แบบไม่รู้อะไรเลย รู้แค่มีคนบอกว่าหนังดีมีรางวัล ซึ่งปรากฏว่าหนังเอาผมอยู่หมัด แค่ฉากแรกก็เรียกร้องความสนใจสุด ๆ ตามมาด้วยฉากต่อมาและต่อมา กราฟไม่ตกเลย ดูแล้วร่วมลุ้นไปกับชะตาชีวิตของครอบครัวนี้


ที่ได้โบนัสอีกอย่างสำหรับคนไทยก็คือ เพลงประกอบในหนังเรื่องนี้ ถ้าฟังแล้วคุ้นก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะมันคือเพลงที่เราเอาทำนองมาแปลงเป็นเพลงไทยในชื่อเพลง "ดอกไม้ให้คุณ" นั่นเอง


แม้ว่าเหตุการณ์ในหนังจะเครียด แต่โทนหนังไม่หดหู่นะครับ มีมุกตลกให้ได้ผ่อนคลายบ้าง (แต่ก็มีฉากเหวอ ๆ ที่กระทบใจคนซึมเศร้า โปรดระวัง)

8.The Assassination of Gianni Versace (Netflix)


ซีรีส์แนะนำมาก มี 9 ตอน เรื่องนี้ผมเจอโดยบังเอิญ เห็นโปรยว่าได้รางวัลซีรีส์ยอดเยี่ยม นักแสดงยอดเยี่ยม พอไปอ่านรีวิวใน imdb คะแนนดีมาก มีแต่คนชื่นชม เลยตัดสินใจดู (เดี๋ยวนี้กว่าจะดูสักเรื่อง คัดแล้วคัดอีก) เนื้อเรื่อง "อ้างอิง" จากเรื่องจริง นั่นคือ เหตุการณ์ที่ "เวอร์ซาเช่" แฟชั่นดีไซเนอร์ชื่อดังถูกยิงเสียชีวิตหน้าแมนชั่นของเขาเองในวันที่ 15 ก.ค. 1997 ผู้ร้ายคือฆาตกรนักฆ่าหลายศพที่ชื่อ "แอนดรูว์ คูนาแนน" โดยเนื้อหาของซีรีส์จะเล่าถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ทั้งหมด โดยเน้นไปที่ตัวแอนดรูว์มากกว่าเวอร์ซาเช่


ซีรีส์เรื่องนี้เจ๋ง 4 อย่างครับ หนึ่ง โปรดักชั่นอลังการ ถ่ายสวย มุมกล้องไม่ธรรมดา สอง วิธีเล่าเรื่องโคตรเจ๋ง หนังเล่าเหตุการณ์ย้อนกลับไปในอดีตถอยไปเรื่อย ๆ ว่าก่อนที่แอนดรูว์ คูนาแนน จะเติบโตมาเป็นแบบนี้ เขาผ่านอะไรมาบ้าง พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าจะดูให้ตรงไทม์ไลน์ เราต้องดูไล่จากอีพีท้าย ๆ ขึ้นมาถึงอีพีแรก วิธีเล่าแบบนี้ทรงพลังมากครับ เพราะมันทำให้เราฉลาดกว่าตัวละคร เรารู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาเหล่านี้ จึงอินเป็นพิเศษ สาม นักแสดงเล่นดีมากทุกคน (มีดาราดังอย่าง ริคกี้ มาร์ติน กับ เพเนโลเป ครูซ ด้วย) แต่ที่แสดงดีมากจนต้องกราบก็คือ Darren Criss คนที่เล่นเป็น แอนดรูว์ คูนาแนน (ภาพปก) ดูแล้วเชื่อสนิทใจเลยว่าเขาคือแอนดรูว์ ตีบทแตกสุด ๆ และ สี่ เนื้อหาสะท้อนหลายเรื่อง ตั้งแต่ความหละหลวมของวงการตำรวจ เรื่องรักร่วมเพศที่ยังเป็นเรื่องยอมรับไม่ได้ในยุค 90s


ใครชอบหนังที่ค้นลึกเข้าไปถึงจิตใจของตัวละคร ชอบหนังสไตล์จิตวิทยา ชอบหนังทริลเลอร์ ตื่นเต้น ลุ้นระทึก (โหดนิดหน่อย) เรื่องนี้คุณจะชอบมากครับ


ส่วนตัวผมยกให้ แอนดรูว์ คูนาแนน เป็นตัวละคร (ซึ่งมีตัวตนจริง) ที่น่ากลัวและน่าสงสารที่สุดตัวละครหนึ่งในโลกภาพยนต์เลยครับ


9.The Kominsky Method (Netflix)


ซีรีส์แนะนำ สนุก ตลก ฉลาด การันตีด้วยรางวัลลูกโลกทองคำ หนึ่งตอนไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ซีซั่นนึงไม่ถึง 4 ชั่วโมง เหมาะกับคนไม่ชอบดูอะไรยาว ๆ ชอบหนังแนว Comedy ปน Drama เล็ก ๆ The Kominsky Method ชื่อเรื่องไม่ได้สื่ออะไรสำหรับคนยังไม่ได้ดู แถมโปสเตอร์ก็เป็น 2 หนุ่มรุ่นใหญ่มาก (คนนึงปีนี้อายุ 76 อีกคนปีนี้อายุ 87) เชื่อว่าอาจทำให้หลายคนมองข้ามซีรีส์นี้ไป เพราะดูแล้วไม่น่าตื่นเต้น ผมเองรู้จักเรื่องนี้จากที่พี่ป้าง นครินทร์ แนะนำไว้ในโพสต์ และได้ดูมาตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว วันนี้กลับมาเปิดดูอีกรอบ เพราะเห็นว่าเพิ่งมีซีซั่น 3 ปิดท้าย เลยต้องทวนดูอีกรอบ ผลลัพธ์คือผมยังสนุก หัวเราะ และซึ้งได้เหมือนเดิม แสดงว่าของเขาดีจริง


เล่าสั้น ๆ นี่คือเรื่องราวของสองเพื่อนที่คบกันมา 40 ปี คนหนึ่งเป็นอดีตนักแสดงเคยมีชื่อเสียง วันนี้ยึดอาชีพโค้ชการแสดง ฐานะการเงินเดือนชนเดือน แถมที่ผ่านมายังไม่เคยประสบความสำเร็จเรื่องชีวิตคู่ ส่วนอีกคนเปิดบริษัทเอเยนต์จัดหางานให้นักแสดง ประสบความสำเร็จอย่างสูง ฐานะดี รักภรรยามาก แม้ว่าจะแตกต่างกัน แต่ทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนสนิทกันสุด ๆ นัดกินอาหารกันประจำ จิกกัดด้วยคำพูดกันตลอด


วันหนึ่ง ความเปลี่ยนแปลงก็มาถึง เมื่อคนหนึ่งมีความรักครั้งใหม่ ในขณะที่อีกคนกำลังสูญเสียความรักไป คนทั้งคู่จึงต้องมาคอยดูแลกันแบบ "เพื่อนซี้" สไตล์แมน ๆ ความหมายก็คือ "ปากเหมือนจะร้าย แต่ใจรักและโคตรห่วง" ดังนั้นเราผู้เป็นคนดูก็เลยได้ตลกไปกับบทสนทนาที่คมคาย ฉลาด บาดใจ


สิ่งที่ผมชอบมากเกี่ยวกับ The Kominsky Method ก็คือมันเป็นหนังที่เล่าเรื่อง "ผู้สูงวัย" ได้ตลกอย่างร้ายกาจ ความเจ็บป่วยที่มาเยือน ความกลัวการต้องอยู่คนเดียวตอนแก่ การสูญเสียคนที่รักมาก ๆ เหตุผลของการยังอยากมีชีวิตอยู่ ความตาย และสิ่งที่น่ากลัวกว่าความตาย (ภาษี) เรื่องหนัก ๆ แบบนี้จะเล่าออกมายังไงให้สนุก ถือเป็นโจทย์โคตรยาก แต่ซีรีส์เรื่องนี้ทำได้ และทำได้ดีมาก ๆ


ยิ่งใครพอรู้จักวงการบันเทิงอเมริกา จะยิ่งดูเรื่องนี้สนุกมาก เพราะมีนักร้องนักแสดงมาเล่นเป็นตัวเขาและเธอจริง ๆ มีคำพูดจิกกัดวงการหนังและเพลง เรื่องสีผิว เชื้อชาติ ครบเลยครับ สมแล้วที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลในหลายเวที


10.Better Call Saul (Netflix)


อาจช้าไปหน่อยที่ชวนดูซีรีส์เรื่องนี้ แต่ของเขาดีจริง ผมเพิ่งได้ดู นี่คือซีรีส์ที่ spin off ตัวละครออกมาจากสุดยอดซีรีส์ที่ดีมาก ๆ อย่าง Breaking Bad


เล่าแบบสั้นๆ ไม่สปอยล์ พล็อตว่าด้วยเรื่องราวของชาย 2 คน คนนึงชื่อ จิมมี่ (ที่ต่อมาจะชื่อ ซอล ตามชื่อเรื่อง) เขาคือทนายความเจ้าเล่ห์ที่แต่ละวันต้องดิ้นรนหาคดีว่าความ เพื่อจะได้รับค่าทนายมาใช้จ่ายประจำวัน นอกจากดูแลตัวเองแล้ว จิมมี่ยังต้องคอยแวะมาดูแลพี่ชายของเขาที่เป็นถึงทนายความระดับตำนาน เป็นเจ้าของบริษัททนายใหญ่โต แต่ปัจจุบันป่วยเป็นโรคแพ้สนามแม่เหล็กไฟฟ้า ต้องเก็บตัวอยู่กับบ้านที่ห้ามมีเครื่องใช้ไฟฟ้า


ชายอีกคนชื่อ ไมค์ เป็นคนเก็บเงินที่จอดรถหน้าศาลาว่าความ ซึ่งจิมมี่ต้องมาจอดรถเป็นประจำ ไมค์เคยเป็นตำรวจมาก่อน แต่เขามีอดีตบางอย่างที่ทำให้ชีวิตต้องผกผันย้ายเมือง และมาทำงานเป็นคนเก็บเงิน


หนังเล่าเรื่องราวของชายสองคนนี้สลับไปมา ทั้งอดีตและปัจจุบัน โดยที่ในเวลาต่อมาเส้นเรื่องของคนทั้งคู่จะค่อย ๆ มาบรรจบพบกัน คล้ายหยดหมึกสองหยดที่หยดกันคนละที่ แต่แผ่กระจายจนพบกันในที่สุด


ความสนุกของซีรีส์เรื่องนี้คือ มันไม่รีบเล่าเรื่อง แต่ค่อย ๆ ลงรายละเอียดในพัฒนาการของตัวละครแต่ละตัว ทำไมคิดแบบนั้น ทำไมทำแบบนั้น ถ้าใครชอบหนังตัดต่อเร็ว ๆ ลุ้นหนักมาก เรื่องนี้อาจไม่เหมาะ แต่ถ้าใครชอบดราม่า สายลึก แต่ไม่เครียดมาก กวนบ้าง ฮาบ้าง มีลุ้นขึ้นเรื่อย ๆ เรื่องนี้เหมาะครับ ผมดูไปก็ทึ่งไปกับความช่างคิดของคนเขียนบทที่ฉลาดในการจับชีวิตตัวละครนั้นนี้ให้ตัดสินใจถูกบ้างผิดบ้าง...เหมือน ๆ กับชีวิตเรา


ตอนแรกผมไม่อยากดูซีรีส์นี้ เพราะโปสเตอร์ไม่โดนใจ แถมยังยาวมาก มี 5 ซีซั่น (และยังไม่จบ) ซีซั่นละ 10 ตอน ตอนละเกือบชั่วโมง ปรากฏว่าไป ๆ มา ๆ นั่งดูทุกวัน วันละตอนสองตอน ยิ่งดูยิ่งชอบ


ชอบไม่แพ้ที่เคยชอบ Breaking Bad ใครยังไม่เคยดู แนะนำครับ สนุกมาก


11.Good Boys (Netflix)


ฮามากกกก จำได้ว่า 2 ปีที่แล้วตอนที่หนังเข้าโรง มีคนดูแล้วชอบกันเยอะมาก วันนี้มีให้ดูใน netflix เรียบร้อย ผมไม่เคยดูหนังแล้วหัวเราะลั่นบ้านแบบนี้มานานแล้ว


Good Boys เล่าเรื่องราวของเพื่อนซี้ 3 คน เรียนอยู่เกรด 6 พวกเขาอยู่ในวัยที่ "พยายาม" ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ คุยโวกับเพื่อนในกลุ่มว่าฉันรู้เรื่องนั้นเรื่องนี้แบบที่ผู้ใหญ่เขาทำกัน ไม่ว่าจะเป็นการดื่มเบียร์หรือเรื่องเซ็กซ์ (แต่อันที่จริงรู้แบบมั่วมาก) วันนึงพวกเขาได้รับเชิญให้ไปงานปาร์ตี้จูบ แต่ปัญหาก็คือพวกเขายังไม่รู้เลยว่าตกลงแล้วหนุ่มสาวเขาจูบกันยังไงนะ จึงต้องออกหาข้อมูลและนำไปสู่เรื่องวุ่น ๆ สนุก ๆ ให้เราได้ฮาไปจนจบ


บอกไว้ก่อนว่านี่ไม่ใช่หนังเด็กนะครับ (ในโรงได้เรท R ใน netflix ให้ 18+) เพราะมันเป็นหนังตลกห่าม ๆ สไตล์ American Pie ดังนั้นมุกสัปดนทั้งหลายก็เลยมีให้เห็นอยู่บ้าง รวมถึงบางฉากอาจรุนแรงไปหน่อย ถ้าเด็กดูแล้วไปทำตามอาจจะอันตราย


แต่สำหรับผู้ใหญ่อย่างเรา (โดยเฉพาะผู้ชาย) ผมคิดว่าน่าจะฮากลิ้ง ได้ย้อนนึกไปถึงวัยเด็กว่าใช่เลย วัยนั้นเรามันช่างละอ่อนเหลือเกิน ทำเป็นว่ารู้นั่นนี่ กลัวไม่เท่ กลัวเพื่อนล้อจึงต้องทำอะไรที่จริง ๆ แล้วไม่ได้อยากทำ ด้วยเพราะวัยนั้นคือวัยที่เรากำลังจะสร้างตัวตนของเราขึ้นมานั่นเอง เราจึงเปราะบางเป็นพิเศษ ซึ่งประเด็นนี้ผมถือว่าเป็นความดีงามของหนังเรื่องนี้ที่ไม่ได้มีดีแค่ตลกไปเรื่อย ๆ แต่หนังแทรกเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัว เรื่องอิทธิพลที่พ่อแม่มีต่อลูก บางฉากนี่ทั้งฮาทั้งซึ้งในคราวเดียวกัน


สรุปว่าเรื่องนี้เจ๋งสมคำร่ำลือ คือดีมาก หนังแค่ 90 นาทีเท่านั้น เหมาะกับผ่อนคลายในวันหยุด แนะนำมาก ๆ


12.The Ballad of Buster Scruggs (Netflix)


อีกหนึ่งผลงานชิ้นเยี่ยมของสองผู้กำกับพี่น้องตระกูล Coen ผู้สร้างหนังเจ๋ง ๆ อย่าง Fargo, No Country for old Man และอีกหลายเรื่อง เรื่องนี้ได้เข้าชิง ได้รางวัล และได้รับคำชมจากหลายเวที


The Ballad of Buster Scruggs คือหนังสั้น ๆ จำนวน 6 เรื่องที่นำมาเล่าต่อ ๆ กัน โดยแต่ละเรื่องไม่มีความเกี่ยวข้องในเนื้อหา แต่เกี่ยวข้องในบรรยากาศที่เซ็ตโทนให้อยู่ในยุค Wild West (อเมริกาประมาณปี ค.ศ.1865–1920) ลองนึกถึงคาวบอยพกปืน ร้านเหล้า คาราวานรถม้า อินเดียนแดง อะไรประมาณนั้น


ความเจ๋งของหนังสั้นทั้ง 6 เรื่องคือ สนุกมาก เต็มไปด้วยพลังของการเล่าเรื่อง (หนังมีภาพความรุนแรงตลกร้ายอยู่บ้างตามสไตล์ผู้กำกับนะครับ เลือดเป็นเลือด) ผมดูแล้วนึกถึงวัยเด็กตอนที่ได้อ่านเรื่องเล่ามหัศจรรย์ต่าง ๆ ในหนังสือ ที่เราก็ไม่รู้ว่ามันจริงไหม แต่ที่แน่ ๆ สนุกจนวางไม่ลง คาดเดาตอนจบไม่ได้ (หรือคาดเดาได้ก็ยังน่าทึ่ง)


ทั้ง 6 เรื่องนั้นมีตัวละครที่แตกต่างกัน ได้แก่ คาวบอยนักแม่นปืน คาวบอยโจรปล้นธนาคาร ผู้จัดละครเร่ไปตามชุมชนห่างไกล นักขุดทอง หญิงสาวที่เดินทางไกลไปกับกองคาราวาน และกลุ่มคนเดินทางกลางดึกด้วยรถม้าที่ไม่มีวันจอดพักระหว่างทาง แต่ละตอนนั้นหลากอารมณ์ ทั้งขำขัน น่าคิด น่าเศร้า ไปจนถึงช็อคในตอนจบ ผมนี่ถึงกับลุกขึ้นยืน


แนะนำสุด ๆ ครับเรื่องนี้ 2 ชั่วโมงกว่าผ่านไปเร็วมาก พี่น้องตระกูล Coen เล่าเรื่องเก่งจริง ๆ ขอคารวะ


13.Mindhorn (Netflix)


ชอบมาก สนุกมาก ตลกมาก รักมาก เหมือนเจอไอเท็มลับ เป็นหนังเก่าตั้งแต่ปี 2016 แต่ผมยังไม่เคยเห็นใครรีวิวเรื่องนี้เลยครับ


เรื่องราวเล่าถึง "ริชาร์ด" อดีตดาราทีวีที่เคยโด่งดังในยุค 80s จากการรับบทเป็น "นักสืบไมน์ฮอร์น" ตัวละครสุดเท่ในซีรีส์ยอดฮิต เหตุการณ์ตัดฉับมาที่ 25 ปีต่อมา ปัจจุบันริชาร์ดกลายเป็นดาราตกอับ รับงานโฆษณาสินค้าบ้าน ๆ ความหล่อเหลาไม่มีเหลือ หัวล้าน ลงพุง แต่ก็ยังรอคอยโอกาสจะกลับมาดังอีกครั้ง จนกระทั่งวันนึง เขาได้รับการติดต่อจากตำรวจว่ามีผู้ร้ายโรคจิตคนนึงจับหญิงสาวเป็นตัวประกัน และยื่นเงื่อนไขว่าคนเดียวที่คนร้ายจะเจรจาต่อรองด้วยก็คือ "นักสืบไมน์ฮอร์น" (ซึ่งไม่มีอยู่จริง แต่คนร้ายสติไม่ดี จึงเชื่อว่ามีจริง) ริชาร์ดเล็งเห็นว่านี่อาจเป็นโอกาสที่ทำให้เขากลับมาดัง เขาจึงตกลงรับบทเป็นนักสืบไมน์ฮอร์นอีกครั้ง


เนื้อเรื่องต่อจากนี้ ต้องลองไปดูกันเอง รับรองว่าสนุกสนาน ไม่เครียด เขียนบทได้ดี ตลกร้ายประชดประชันหน้าตายตามสไตล์อังกฤษ ไม่โฉ่งฉ่างแบบอเมริกันชน


นานมากแล้วที่ผมไม่ได้ดูหนังตลกที่ "สะอาด" แบบนี้ ในความหมายว่าไม่มีฉากลามก ตลกหยาบคาย เล่นใหญ่โตบ้านพังเป็นแถบอะไรแบบนั้น เพราะหนังเรื่องนี้ตลกแบบชาญฉลาดด้วยเนื้อเรื่อง คำพูด และแคแรกเตอร์ของตัวละคร


โดยทั้งหมดนี้ไม่ต้องมีดาราดัง ไม่ต้องมีนักแสดงหนุ่มสาวเลย


14.Us and Them (Netflix)


หนังไต้หวันแนะนำมาก ๆๆ ครับ เต็ม 10 ให้ 100 นี่คือหนึ่งในหนังชอบที่สุดในปีนี้ ประทับใจจนต้องเก็บเข้าลิสต์ My Favorite Movies of All Time ชื่อเรื่องว่า "后来的我们" ชื่ออังกฤษ "Us and Them" ชื่อไทย "ความรักแปลกหน้าของสองเรา"


หากคิดว่านี่เป็นแค่หนังรักวัยรุ่นวุ่นรักอีกเรื่องหนึ่ง ก็แปลว่าคุณเข้าใจผิดเหมือนผมผู้ซึ่งเห็นโปสเตอร์หนังเรื่องนี้สักพักแล้ว แต่ไม่คิดจะดู ไปอ่านรีวิวใน imdb เห็นได้คะแนนเยอะมาก แต่ก็ยังไม่ดู ด้วยคิดว่าหนังโรแมนติกกับฉันมันคงพ้นวัยไปแล้ว จนกระทั่งวันหนึ่งไม่รู้จะดูอะไร หนังเรื่องนี้ก็ผ่านเข้ามา สุดท้ายกลายเป็นว่าชอบมาก เป็นหนังเรื่องแรกที่นั่งดูอยู่บ้านแล้วน้ำตาไหล ร้องไห้ออกมา ดูจนจบเครดิต ก็ยังอินอยู่ในอารมณ์ นี่ถ้าดูอยู่ในโรงหนัง คงเช็ดน้ำตาไม่ทันตอนเขาเปิดไฟ


Us and Them เล่าตัดสลับระหว่างปี 2007 และปี 2018 โดยในปี 2007 สองหนุ่มสาววัย 20 ต้น ๆ พบกันโดยบังเอิญบนรถไฟ ในวันที่คนจำนวนมากกลับไปเยี่ยมบ้านที่ชนบทในเทศกาลตรุษจีน ปรากฏว่าวันนั้นรถไฟต้องหยุดวิ่งเนื่องจากหิมะตกหนัก สองคนจึงนั่งคุยฆ่าเวลาเพื่อจะพบว่าเป็นคนบ้านเดียวกัน เข้าเมืองหลวงไปหาอนาคตที่ปักกิ่งเหมือน ๆ กัน

ฝ่ายชายดูเป็นคนจริงจัง เพิ่งจบมหาวิทยาลัย ความฝันคืออยากเป็นนักสร้างเกมออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จ ฝ่ายหญิงดูห้าว ๆ ดื่มเก่ง เล่นไพ่เป็น หัวเราะเสียงดัง เรียนจบแค่มัธยม ทำงานพนักงานรับจ้างทั่วไปในเมือง ความฝันคือเจอผู้ชายสักคนที่หน้าที่การงานดีพอจะเลี้ยงดูเธอให้อยู่ในเมืองใหญ่อย่างปักกิ่งได้ เธอเคยมีแฟนมาบ้าง แต่ก็ผิดหวังทุกครั้งไป


เดาได้ไม่ยาก ในเวลาต่อมาสองคนนี้ย่อมต้องตกลงหลุมรักกันในที่สุด อย่างไรก็ตาม หนังเล่าข้ามไปในปี 2018 ภาพหนังกลายเป็นขาวดำ บนเครื่องบินที่กำลังเตรียมมุ่งหน้าปักกิ่ง สองชายหญิงในวัย 30 กว่า ๆ บังเอิญได้พบกันอีกครั้ง ในสถานะที่ดูก็รู้ว่าไม่ได้เป็นคนรักกัน และไม่ได้พบกันนานแล้ว


เหตุการณ์เหมือนเกิดซ้ำ วันนั้นเครื่องบินต้องยกเลิกเที่ยวบินเนื่องจากหิมะตกหนัก สองคนรักเก่าจึงติดอยู่ในโรงแรม พร้อมกับโอกาสทบทวนว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้นนะ ทำไมเราจึงเลิกกัน? ...จากนั้นหนังก็ค่อย ๆ เล่าย้อนกลับไปในปี 2007 2008 2009 2010 เรื่อยมาจนบรรจบกับปัจจุบัน


ถ้าอ่านเพียงเท่านี้ ก็ยังอาจนึกว่าเป็นเพียงหนังรักของคนเหงา ซึ่งก็มีส่วนถูกไม่น้อยครับ เรื่องราวความรักนั้นหนังทำได้ "ถึง" มาก ในความหมายว่าเป็นความรักที่เราเห็นพัฒนาการ จากรักแบบวัยรุ่นไปสู่รักแบบผู้ใหญ่ รายละเอียดความรู้สึกที่ซ่อนไว้ ภาษาภาพที่ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดใด ๆ การให้คุณค่าที่แตกต่างกันระหว่างชายหญิง (ผู้ชายอยากสร้าง House ผู้หญิงอยากได้ Home) สำหรับผมนี่คือหนังรักที่สมบูรณ์แบบ


แต่มากไปกว่านั้น มากกว่าเรื่องราวความรักหนุ่มสาว พื้นหลังของหนังยังฉายภาพให้เห็นถึงความยากลำบากของการสร้างเนื้อสร้างตัวในเมืองหลวง คนชนบทที่อพยพเข้ามาทำงานในเมืองใหญ่ แต่ต้องอยู่ห้องเช่ารูหนู หรือในบางกรณีคือห้องที่อยู่ต่ำกว่าระดับพื้นดิน ทั้งหมดก็ด้วยความหวังว่าสักวันฉันจะสร้างเนื้อสร้างตัวเป็นเศรษฐีให้ได้ ในยุคที่ทุนนิยมไหลทะลักเข้าสู่จีนแผ่นดินใหญ่


เท่านั้นไม่พอ มากของมากไปกว่านั้น พล็อตรองของหนังยังเล่าถึงความรักระหว่างพ่อกับลูกชาย พ่อพระเอกเป็นเจ้าของร้านอาหารเล็ก ๆ ในชนบท พ่อผู้แก่ชราลงทุกปี ๆ รอคอยการกลับมาเพียงปีละครั้งของลูกชาย เป็นห่วงลูกว่าทำเกมออนไลน์จะเป็นอาชีพได้จริงหรือ ส่วนลูกชายนั้นเล่าก็เฝ้าแต่รำคาญที่พ่อใช้รีโมทกดทีวีรุ่นใหม่ไม่เป็นสักที เมนูอาหารก็ทำซ้ำเดิมทุกปี และเขาเองก็ไม่กล้าบอกพ่อว่าความฝันที่จะสร้างฐานะในเมืองใหญ่แล้วพาพ่อไปอยู่ด้วยนั้น...เขายังทำไม่ได้สักที


สรุปว่าเรื่องนี้แนะนำขั้นสูงสุด ภาพสวย เพลงเพราะมาก ดูไปจนจบเครดิตนะครับ เพราะระหว่างนั้นยังมีเซอร์ไพรซ์อีก 2 อัน อันแรกดูแล้วยิ้ม หัวเราะ อันที่สองนี่คือซึ้งจนน้ำตาไหลอีกรอบ เรียกว่ากะไม่ให้ทันได้เช็ดน้ำตากันเลยทีเดียว ถ้ามีเวลา ถ้าชอบมาก ผมอยากให้ลองดูซ้ำอีกรอบ จะเก็บรายละเอียดได้อีกมาก หนังเรื่องนี้ไม่ธรรมดา


ส่วนตัวผมคิดว่าระดับน้อง ๆ "เถียนมีมี่ 3,650 วัน...รักเธอคนเดียว" ได้เลยครับ


15.Squid Game (Netflix)


ซีรีส์เรื่องนี้สนุกดี ดูแล้วติดหนึบ ฮึบ ๆ เอาใจช่วยตลอด ตอนแรกผมคิดว่าคงไม่ดู เพราะเห็นรีวิวหลายคนบอกงั้น ๆ ผิดหวัง ยาวไปหน่อย น่าจะทำเป็นหนัง แต่กระแสชักแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนต้องดูในที่สุด แล้วก็พบว่า สนุกดี ไม่น่าเบื่อเลย ตอนจบอาจแผ่วไปหน่อย พล็อตอาจคาดเดาได้ แต่โดยรวมถือว่าดีมาก ชอบมาก เอาเป็นว่าถ้าไม่ดูแบบคาดหวังให้เป็นมาสเตอร์พีซ ก็ไม่น่าจะผิดหวัง เผลอ ๆ จะดู 9 อีพีรวดเดียวจบ


พล็อตอย่างสั้นที่สุด มันคือหนังในสไตล์ Survival Game คือจับคนมารวมกัน แล้วแก่งแย่งแข่งขันจนถึงแก่ชีวิต คนสุดท้ายที่ผ่านด่านจะได้รับเงินรางวัลมหาศาล ถือเป็นพล็อตมาตรฐาน มีหนังและซีรีส์ทำออกมาหลายเรื่อง


แต่สำหรับผม ความเจ๋งของซีรีส์เรื่องนี้คือมันเป็นหนังที่ "มีสไตล์" ในความหมายว่างานด้านภาพและเสียงถูกออกแบบมาให้โดดเด่นเป็นพิเศษ สีสันสดใส เครื่องแต่งกาย วัตถุ ฉากหลัง ดนตรีประกอบ เรียกว่าล้วนน่าจดจำ พร้อมทำออกมาเป็นของเล่นจริง ๆ ให้ผู้คนได้สนุกในแบบที่เรียกว่า Theme Park ได้เลย


ส่วนทีมนักแสดงนั้นไม่ต้องพูดถึง เลือกมาเหมาะกับบทบาททุกคน มีเสน่ห์ทุกคน แถมพอเป็นคนเอเชียด้วยกัน หน้าตาไปทางเดียวกัน เราคนไทยดูแล้วก็เลยนึกไปถึงคนดังคนนั้นคนนี้ เพิ่มความสนุกเข้าไปอีก


ข่าวบอกว่าซีรีส์เรื่องนี้มีคนดูมากที่สุดบน netflix ทั่วโลก เกาหลีเขามาแรงจริง ๆ หนัง เพลง ซีรีส์ ชั่วโมงนี้ยกให้เขาเลย ส่วนบ้านเราเรื่องนี้ถือว่ากระแสแรงที่สุดในปีนี้ครับ


16.Earthquake Bird (Netflix)


โคตรเท่ โคตรดี ให้ 10/10 ไปเลย เป็นหนังปี 2019 แต่ผมเพิ่งได้ดูครับ พล็อตเรื่องสั้น ๆ แบบไม่สปอยล์ เรื่องราวเกิดขึ้นที่โตเกียวปี 1989 "ลูซี่" คือหญิงสาวชาวสวีเดน เธอมาทำงานเป็นคนแปลภาษาที่ญี่ปุ่นได้หลายปีแล้ว ลิลี่คือคนเหงาในเมืองใหญ่ อยู่คนเดียว พูดน้อย ไม่ค่อยยิ้ม คล้ายมีความหลังบางอย่าง


จนกระทั่งวันนึง เธอบังเอิญได้พบกับหนุ่มญี่ปุ่นร่างสูงใหญ่ "เทจิ" พ่อครัวร้านราเม็ง ที่มีงานอดิเรกจริงจังคือการถ่ายภาพตามท้องถนน เขาพาเธอไปที่ห้องพักที่มีห้องมืดล้างฟิล์ม เธอกลายเป็นแบบให้เขาถ่ายภาพ และตกหลุมรักเขาทันทีเหมือนคนขาดที่พึ่งทางใจ ก่อนจะค่อย ๆ พบว่าเขามีความลับความหลังบางอย่างที่น่าหวาดระแวง


ในขณะเดียวกันก็มีตัวละครหญิงสาวคนใหม่เพิ่มเติมเข้ามา "ลิลี่" สาวอเมริกันที่เพิ่งเดินทางมาถึงญี่ปุ่น เพื่อนใหม่ที่เป็นภาระให้ลูซี่ต้องคอยดูแล ซึ่งไม่นานเธอก็เริ่มรู้สึกว่าเพื่อนสาวสนใจเทจิเป็นพิเศษ และเทจิก็เช่นกัน


เล่าได้ประมาณนี้ แต่พอเล่าเท่านี้พล็อตเรื่องก็อาจดูไม่หวือหวา แต่ความจริงแล้วยังมีอะไรมากกว่านี้ที่เล่าไม่ได้ เอาเป็นว่าใครชอบหนังแนวฟิล์มนัวร์ พิศวาสฆาตกรรม เรื่องนี้เข้าทาง


ที่สำคัญเรื่องนี้มีเสน่ห์เท่ไปทุกจุด ตั้งแต่นักแสดงหน้าฝรั่งพูดญี่ปุ่น หน้าญี่ปุ่นพูดฝรั่ง นางเอก Alicia Vikander (จาก Tomb Raider, The Danish Girl) สวยโศกจนละสายตาจากเธอไม่ได้เลย ฉากหลังคือโตเกียวยุคปลาย 80s สูทโคร่ง ๆ รถยนต์เหลี่ยม ๆ ทรงผมชายหญิง ภาพสวย แสงสวยมาก และที่เด่นเป็นพิเศษคือดนตรีประกอบ กดดัน ระทึก ซาวนด์สังเคราะห์ปนดนตรีญี่ปุ่น เท่ไม่แพ้หนังเรื่อง tenet ฟัง ที่นี่


อย่างไรก็ตาม ต้องบอกไว้ก่อนว่านี่เป็นหนังประเภทที่จบแบบให้ต้องตีความกันเอง ต้องคาดเดาปะติดปะต่อเรื่องอีกนิด ถ้าใครชอบหนังแบบจบเคลียร์ ๆ เข้าใจง่าย ๆ แอ็คชั่นเยอะ ๆ อาจไม่เหมาะกับเรื่องนี้ครับ


แต่สำหรับผมชอบมาก ดูจบแล้วยังต้องไปหาข้อมูลอ่านต่อ พร้อมกับฟังซาวน์ดแทร็ควนเวียนไปมา


17.Midnight Mass (Netflix)


นิซีรีส์ความยาวกำลังดี 7 ตอน 7 ชั่วโมง ผลงานของผู้กำกับชื่อดัง Mike Flanagan (The Haunting of Hill House) ซึ่งผมไม่เคยดูงานของเขาเลย (ไม่ค่อยชอบดูหนังผี มันจะหลอนตอนกลางคืน)


อย่างไรก็ตาม แม้ Midnight Mass จะมีเลือดและคนตาย แต่ก็ไม่ใช่หนังผี เนื้อหานั้นว่าด้วยเรื่องความเชื่อทางศาสนา (คริสต์เป็นหลัก แต่โยงใยไปถึงอิสลาม พุทธ หรืออื่น ๆ ก็ได้) ปรัชญา ชีวิต และความตาย ทั้งหมดเล่าออกมาจริงจัง ท้าทาย ตั้งคำถาม เต็มไปด้วยบทสนทนาที่แลกเปลี่ยนถกเถียงกันจริงจัง


พล็อตเรื่อง ชายหนุ่มขับรถชนคนเสียชีวิต ติดคุก 4 ปี เมื่อรับโทษจนครบ เขากลับมาที่เกาะบ้านเกิด พร้อมกับความเชื่อที่เปลี่ยนไป จากคริสเตียนเป็น Atheist (ผู้เชื่อว่าไม่มีพระเจ้า) ทั้งเกาะนี้มีกันแค่ 127 คน รู้จักกันหมด แคแรกเตอร์ตัวละครหลากหลาย ชายขี้เมา นายอำเภอชาวมุสลิม หญิงตั้งครรภ์ที่เพิ่งเลิกกับสามี หมอเลสเบี้ยนผู้เชื่อในวิทยาศาสตร์ หญิงเคร่งศาสนาประจำโบสถ์คริสต์ที่ไม่ค่อยมีคนมา


เรื่องราวถึงจุดเปลี่ยนเมื่อวันหนึ่งบาทหลวงวัยชราประจำเกาะหายตัวไป และถูกบอกว่าไปรักษาตัวที่แผ่นดินใหญ่ ทางโบสถ์จึงมีบาทหลวงหนุ่มคนใหม่มาแทน บาทหลวงหนุ่มคนนี้มาพร้อมกับอำนาจวิเศษ แต่พลังนี้มาจากไหน? เขาเป็นใคร? นั่นคือเรื่องที่เราต้องติดตามดูจนจบ


ทั้งนั้นทั้งนี้ ต้องบอกไว้ก่อนว่าสำหรับบางคนนี่อาจเป็นหนังน่าเบื่อ เพราะพูดเยอะพูดยาว (ใครอ่านซับไม่ทัน จะดูแบบพากย์ไทยก็มี) โชคดีที่ผมได้รับคำเตือนมาก่อน (จริง ๆ อยากดูเรื่องนี้เพราะเพจ Watchman แนะนำระดับสูงสุด) ก็เลยเตรียมใจมาแล้วว่า 4 อีพีแรกจะยืดยาวหน่อย แต่จะมาเครื่องติดแบบบ้าคลั่งตอนอีพี 5-7 นั่นจึงทำให้ผมดูเรื่องนี้ได้สบาย ๆ แถมไม่รู้สึกว่า 4 อีพีแรกน่าเบื่อด้วยซ้ำ


จะว่าไปซีรีส์นี้เต็มไปด้วยฉากน่าประทับใจหลายฉาก ฉากพระเอกนางเอกนั่งคุยกันเรื่องความตาย ฉากคนไม่เชื่อในพระเจ้าคุยกับบาทหลวง ฉากบนเรือของพระเอกกับนางเอก ฉากนายอำเภอมุสลิมคุยกับหญิงผู้ศรัทธาในคริสตศาสนามาก ๆ และอีกมาก


นักแสดงทุกคนเล่นโคตรดี ผมเชื่อหมดใจเลยครับว่าพวกเขาคือตัวละครนั้นจริง ๆ


18.Shoplifters (Netflix)


ได้ยินเสียงชื่นชมที่มีต่อหนังญี่ปุ่นเรื่องนี้มานาน แต่ผมเพิ่งเคยดูครับ ดูแล้วชอบมาก ชื่อไทย "ครอบครัวที่ลัก" ชื่ออังกฤษ "Shoplifters" ชื่อญี่ปุ่น "万引き家族" เป็นหนังดราม่าที่ดีมาก ถึงว่าล่ะ ได้รางวัลได้เข้าชิงในหลายเวที


อย่าหลงเชื่อโปสเตอร์รูปนี้ อย่าคิดว่าเป็นหนังครอบครัวฟีลกู๊ด ทุกคนมีความสุข เพราะมันไม่ใช่อย่างนั้นครับ นี่คือเรื่องราวของ 6 คนที่อาศัยอยู่ในบ้านซ่อมซ่อหลังเดียวกัน โดยไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกันเลย


คุณย่าเจ้าของบ้านอยู่ได้ด้วยเงินบำนาญจากสามีที่เสียไปแล้ว ชายที่ดูเหมือนคุณพ่อเป็นคนงานรับจ้างทั่วไป (และสอนให้เด็กชายขโมยของในร้านเอามากินใช้หรือขายต่อ) หญิงที่ดูเหมือนแม่เด็ก คือสาวโรงงานซักรีด หญิงวัยรุ่นทำงานเต้นยั่วยวนแขกผู้ชาย และสุดท้าย เด็กหญิงตัวเล็กที่ถูกครอบครัวเก่าทำร้ายร่างกาย และถูกพามาอยู่กับครอบครัวนี้โดยบังเอิญ


พอดูไปสักพัก เราจะเห็นความสัมพันธ์ของครอบครัวนี้ที่แปลกประหลาด อยู่ด้วยกันได้ ทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่พวกเขามาอยู่รวมกันได้อย่างไรนั้น หนังจะค่อย ๆ เล่าให้เรารับรู้อย่างใจเย็น ไม่รีบร้อน ลักษณะคล้ายดูหนังสารคดี ดิบ ๆ หน่อย เหมือนเราตามติดชีวิตคนในครอบครัวนี้


ใครใจร้อน อาจไม่ชอบหนังเรื่องนี้นะครับ แต่ถ้าดูต่อไปเรื่อย ๆ พอหนังเริ่มเฉลยที่มาที่ไปของตัวละครแต่ละตัว พอเกิดจุดเปลี่ยนของเรื่อง รับรองว่าสนุกคุ้มค่ากับการใช้เวลา 2 ชั่วโมงครับ นักแสดงทุกคนเล่นดีมาก เหมือนไม่ได้แสดง แต่เป็นคนคนนั้นอยู่แล้ว


เรื่องนี้ถือเป็นการสะท้อนสังคมญี่ปุ่นในอีกมุมที่เราไม่ค่อยเคยเห็นครับ


19.True Story (Netflix)


มินิซีรีส์แนะนำ สนุกมาก ลุ้นมาก สั้นมาก (4 ชั่วโมง ใครสายแข็ง ดูรวดเดียวจบได้เลย) เล่าสั้น ๆ แบบไม่สปอยล์ หนังเล่าเรื่องของซูเปอร์สตาร์คนหนึ่ง เขาคือตลกเดี่ยวไมโครโฟนชื่อดังและดาราหนังพันล้าน นั่นคือเรื่องงานและเงินที่ไปได้สวย แต่เรื่องความสัมพันธ์นั้นตรงข้าม เขากำลังจะหย่ากับเมียที่ระหองระแหงกันมานาน


แต่นั่นยังไม่ใช่จุดเปลี่ยนในชีวิตเท่ากับตอนที่เขากลับไปฟิลาเดเฟียเมืองบ้านเกิด เพื่อแสดงสแตนอัพคอมเมดี้ครั้งยิ่งใหญ่ ที่นั่นเขาได้พบกับพี่ชายแท้ ๆ ที่ไม่ค่อยได้เจอกัน และจะนำเรื่องบางอย่างมาสู่ชีวิตเขา...เรื่องที่ไม่ตลกเลย


เรื่องนี้เล่าอะไรมากไม่ได้ครับ ไม่รู้อะไรเลยจะดีที่สุด เพราะหักมุมไปมา (ซึ่งเอาจริง ๆ ใครดูหนังมาเยอะ คงเดาได้ไม่ยาก แต่ความสนุกไม่ได้อยู่ตรงนั้น) ผมชอบการแสดงของนักแสดงทุกคน แน่นอนโดยเฉพาะสองคนหลัก "เควิน ฮาร์ท" (ที่เหมือนเล่นเป็นตัวเอง เพราะเป็นตลกอยู่แล้ว) และ "เวสลีย์ สไนป์" (ที่ผมไม่ได้ดูหนังที่เขาเล่นมานานแล้ว นับตั้งแต่ Blade) ชอบที่ได้เห็นวิธีทำงานของทีมงานเดี่ยวไมโครโฟนว่าเขาทำงานอย่างไร และชอบตอนจบที่จบได้สมเหตุสมผล สะใจกำลังดี (ซึ่งหาได้ยากในหนังแนวนี้)


สรุป เป็นหนังที่ดูสนุก ใครชอบหนังทริลเลอร์แบบไม่เครียดมาก ไม่ดาร์กจนหดหู่ แต่มีเรื่องให้ลุ้นตลอด จนหยุดดูไม่ได้ น่าจะชอบเรื่องนี้ครับ


20.Mitchells vs The Machines (Netflix)


ได้ยินเสียงชื่นชมมาตั้งแต่ต้นปี แต่ก็ทดไว้ในใจตลอด ไม่ดูสักที จนกระทั่งได้นั่งดูกับลูกสาว ผลคือ ชอบมาก ยกให้เป็นหนึ่งในอนิเมชั่นที่ชอบที่สุดในรอบหลายปี เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูก็ยิ่งดีครับ


เล่าสั้น ๆ แบบไม่สปอยล์ นี่คือเรื่องราวของครอบครัว "มิทเชลล์" ลูกสาวหลงใหลเทคโนโลยีและการทำหนัง เธอกำลังจะไปเรียนต่อที่ต่างเมือง แต่เกิดทะเลาะกับพ่อผู้ต่อต้านเทคโนโลยี พ่อจึงอยากคืนดีกับลูกสาว เลยตัดสินใจโดยพลการ ยกโขยงทั้งครอบครัว ขับรถเดินทางไกลเพื่อไปส่งลูกสาว (ที่ไม่เต็มใจ) ปรากฏว่าระหว่างนั้น หุ่นยนต์ AI รุ่นใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวครั้งแรกในโลก เกิดเพี้ยน ไม่ฟังคำสั่ง ออกไล่ล่าจับตัวมนุษย์ทั้งโลกขังไว้ ครอบครัวนี้เป็นเพียงไม่กี่ชีวิตที่หลุดรอดได้ จึงต้องเป็นฮีโร่จำเป็นเพื่อกอบกู้โลกใบนี้


เอาจริง ๆ พล็อตเรื่องแนวนี้ถือเป็นมาตรฐาน ไม่มีอะไรแปลกใหม่ครับ มันคือ Road Movie ที่ว่าด้วยความไม่เข้าใจกันของตัวละคร แต่ทีมสร้าง Mitchells vs The Machines พวกเขาทำได้ถึงมาก ๆ คือจะดูสนุก ๆ แบบการ์ตูนทั่วไปก็ได้ หรือจะดูให้ดราม่าแบบเจาะปัญหาพ่อแม่ลูกก็ได้ (ลูกอยากให้พ่อแม่สนับสนุนให้กำลังใจ พ่อแม่ต้องการให้ลูกฟังกันบ้าง) หรือจะดูในมุมที่เสียดสีเรื่องเทคโนโลยีก็ได้ (เราขาดไวไฟไม่ได้อีกแล้ว แต่เราไว้ใจเทคโนโลยีได้แค่ไหนล่ะ?) ที่สำคัญ งานด้านภาพ "เจ๋งมากกกก" ผสมผสานความเป็น 3 มิติเข้ากับ 2 มิติได้อย่างลงตัว มีความสติกเกอร์แบบที่คนเล่นไอจีน่าจะอินเป็นพิเศษ


สรุป เป็นหนังที่สนุกเกินคาด สารภาพว่าหลัง ๆ ผมรู้สึกเลยวัยที่จะดูหนังการ์ตูน แต่เรื่องนี้ยอมเลยครับ ดูไปก็บอกลูกสาวไปว่า โอโห หนังดีจังเลยลูก


21.The Power of The Dog (Netflix)


หนังดีที่อาจไม่เหมาะกับทุกคน ตอนนี้กำลังเดินหน้าเข้าชิงหนังยอดเยี่ยมในหลายเวที (และมีแววว่าจะได้) แต่ถ้าใครไม่ชอบหนังช้า ๆ ค่อย ๆ นวด อาจดูแล้วปวดใจเพราะความเบื่อ แต่ถ้าไหว ก็อยากให้ลองดูครับ อย่างน้อยภาพก็สวยมาก (บอกไว้ก่อนว่าชื่อเรื่องมีคำว่า Dog ในหนังมีสุนัข แต่นี่ไม่ใช่หนังพลังหมาแต่อย่างใด)


เล่าสั้น ๆ แบบไม่สปอยล์ นี่คือชีวิตของคน 4 คนที่มาข้องเกี่ยวกัน เรื่องราวเกิดขึ้นในปี 1925 รัฐมอนแทนา สองพี่น้องต่างนิสัย คนพี่แมนจัดมาดโหดโกรธโมโหได้ทุกเรื่อง คนน้องสุขุมทุ้มนุ่มเนื้อ สองพี่น้องค่อนข้างมีฐานะ เป็นเจ้าของไร่ปศุสัตว์ใหญ่โต วันหนึ่งคนน้องพบรักกับแม่ม้ายลูกติด จึงแต่งงานกัน แต่ดูเหมือนคนพี่จะไม่พอใจ คิดว่าแม่ม้ายแต่งเพราะเห็นว่าผู้ชายรวย แถมยังไม่ชอบลูกชายแม่ม้ายที่ดูตุ้งติ้งอย่างกับหญิงงาม มันน่ารำคาญความเป็นชายของเขาเสียเหลือเกิน


เรื่องราวเล่าได้ประมาณนี้ครับ เอาเป็นว่ามันดูเหมือนหนังคาวบอยตะวันตก แต่กลับไม่มีปืน ไม่มีฉากยิงกัน มีแต่การปะทะกันทางอารมณ์ของตัวละคร แล้วค่อย ๆ เปิดเผยบางอย่างในช่วงท้าย ๆ และนำไปสู่จุดจบที่ถือว่าสาแก่ใจใช้ได้เลย (ซึ่งอันที่จริงหนังเฉลยไว้ตั้งแต่ประโยคแรก เพียงแต่ตอนต้นเรื่อง เรายังไม่เข้าใจว่าคืออะไร)


สรุปว่าบทเยี่ยม แสดงดี ภาพสวยมาก กำกับโดย Jane Campion ที่คอหนังยุค 90s รู้จักดีจาก The Piano เพลงประกอบงดงามบีบคั้นอารมณ์ โดย Jonny Greenwood แห่งคณะ Radiohead


แต่อย่างที่บอกครับ จุดที่ยากสำหรับหลายคนคือหนังค่อนข้างช้าเนิบ (เมื่อเทียบกับสมัยนี้) และต้องใช้เวลากว่าจะนำไปสู่จุดจบที่เด็ดขาด หลายคนจึงยอมแพ้ไปก่อน หรือบางคนทนดูจนจบเพื่อจะพบว่าไม่เห็นมีพลังหมาแต่อย่างใด (อันที่จริงชื่อเรื่องมาจากประโยคในไบเบิ้ล มีความหมายสื่อไปถึงพลังความชั่วร้ายที่คาดไม่ถึง)


ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากชวนดูครับ





745 views0 comments
Home: Blog
Screen Shot 2561-12-19 at 01.56.23.png
Screen Shot 2561-12-19 at 01.56.34.png

กรอกข้อมูล รับฟรี! ebook บนท้องฟ้ารถไม่เคยติด

bottom of page