top of page

หนังสือที่อ่านแล้วชอบ Q2 2021 (ตอน 1)

Updated: Sep 10, 2021

เป็นประจำทุกสัปดาห์ ผมจะแนะนำหนังสือที่อ่านแล้วชอบไว้ในแฟนเพจ boy's thought อย่างไรก็ตาม ด้วยระบบของ facebook ทำให้การสืบค้นโพสต์เก่า ๆ ทำได้ยาก ผมจึงนำมารวบรวมไว้ในเว็บไซต์ เผื่อว่าใครจะลองไปหามาอ่านบ้าง โดยครั้งนี้จะเป็นหนังสือที่ผมอ่านในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน 2021 ครับ มาเริ่มกันเลย (ส่วนหนังสือที่อ่านแล้วชอบ Q1 2021 อ่านย้อนหลัง กด ที่นี่ ครับ)

ภาพถ่ายโดย cottonbro จาก Pexels


1.หลุดกรอบบุคลิกภาพ (Personality isn't Permanent)

เล่มนี้อ่านง่าย เขียนดี มีประโยชน์ ว่าด้วยประเด็นที่น่าสนใจ นั่นคือ "แบบทดสอบบุคลิกภาพที่ฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมือง เช่น myers briggs, enneagram, DISC, Birkman ทำแล้วได้รู้ว่าฉันเป็นคนอย่างนั้นอย่างนี้ ตกลงแล้วมันเวิร์คจริงหรือเปล่า?" ซึ่งคำตอบของหนังสือเล่มนี้ ก็ชัดเจนด้วยสิ่งที่ผู้เขียนเรียกแบบทดสอบเหล่านี้ว่า "ไร้สาระ โง่ และบางอันถูกทำขึ้นโดยคนที่ไม่เคยอบรมด้านจิตวิทยา" โอโห แรงมาก แต่ก็เข้าใจได้ครับว่าต้องเขียนแบบนี้จะได้น่าสนใจ


ส่วนตัวผมชอบที่หนังสือเล่มนี้อ่านง่าย เพราะเขียนแบบโครงสร้างสูตรสำเร็จของหนังสือฮาวทู นั่นคือ


  1. เกริ่นถึงปัญหาที่มีอยู่ (แบบทดสอบไม่เวิร์ค มันกำหนดตัวตนเราเกินไป)

  2. ความเชื่อผิด ๆ อะไรบ้างที่มีอยู่ (เช่น เชื่อว่าบุคลิกภาพแบ่งประเภทได้ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ถูกวัดผลจากอดีต)

  3. แล้วสิ่งที่ถูกต้องคืออะไร (เป้าหมายชีวิตต่างหากที่กำหนดตัวตนของเรา ต้องลองสิ่งใหม่ ต้องมีความปรารถนาอันแรงกล้า ต้องมีความมั่นใจ)

  4. สิ่งที่เราต้องทำมีอะไรบ้างเพื่อให้เราเป็นคนใหม่ (วิธีเปลี่ยนบุคลิกภาพคือ 1เยียวยาบาดแผลใจในอดีตด้วยการหาผู้รับฟัง 2มองเรื่องราวในอดีตว่าไม่ใช่ความล้มเหลว แต่เป็นสิ่งที่ได้เรียนรู้ เขียนเรื่องราวในอนาคตขึ้นใหม่ จินตนาการถึงสิ่งที่อยากเป็นในอีก 3 ปีข้างหน้า 3ยกระดับจิตใต้สำนึกด้วยการฝึกอดอาหารและฝึกแบ่งปัน 4.ออกแบบสิ่งแวดล้อมใหม่ ด้วยการสร้างเครื่องเตือนใจให้เราลงมือทำสิ่งดี ละทิ้งสิ่งไม่ดี และฝึกให้ตัวเองลงมือทำแบบไฟท์บังคับ)


อย่างไรก็ตาม ความเห็นส่วนตัว ผมรู้สึกว่าเอาเข้าจริงสิ่งที่เขานำเสนอนั้นไม่ค่อยตรงประเด็นสักเท่าไหร่ คล้ายกับการโต้วาทีผิดประเด็น เนื่องจากผมคิดว่าแบบทดสอบบุคลิกทั้งหลายนั้นวิเคราะห์สิ่งที่เราเป็นมาในอดีตเพื่อมองหาแพทเทิร์นหรือรูปแบบของเรา (เช่น ถนัดทำงานเป็นทีมหรือทำงานคนเดียว ได้รับพลังเมื่ออยู่คนเดียวหรืออยู่กับคนเยอะ ๆ สนใจในรายละเอียดหรือชอบมองภาพรวม) แต่หนังสือเล่มนี้กลับมุ่งไปในประเด็นว่า อดีตเคยเป็นอย่างไรไม่สำคัญ หากเรามีเป้าหมายที่แรงกล้าในอนาคต เราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ซึ่งเอาเข้าจริงคนละเรื่องกับบุคลิกภายในที่เราเป็น ซึ่งเปลี่ยนแปลงได้ แต่ค่อนข้างยาก


อย่างผมเอง เป็นคนเงียบ ๆ ไม่ชอบพูด ได้รับพลังเมื่ออยู่คนเดียว แต่วันหนึ่งชีวิตจับพลัดจับผลู มีโอกาสเข้ามา กลายเป็นนักพูด บรรยายไปทั่ว เงินดีมาก ผมก็ค่อย ๆ เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนพูดบนเวทีได้ พูดต่อหน้าคนเป็นพันก็เคยมาแล้ว แต่เมื่อทำไปเรื่อย ๆ ก็ยอมรับว่าไม่ใช่ธรรมชาติตัวเอง เหนื่อยไปหน่อย สุดท้ายเมื่อไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน ไม่ต้องทำเป็นอาชีพก็ได้ ผมก็ค่อย ๆ กลับมาที่ฐานที่มั่นเดิมของตัวเองนั่นคือ เงียบ ๆ ไม่ชอบพูด ได้รับพลังเมื่ออยู่คนเดียว ทุกวันนี้ผมอยู่บ้านแทบทุกวันและรู้สึกสงบสุขมาก


จึงไม่ถูกเสียทีเดียวที่จะบอกว่าแบบทดสอบบุคลิกภาพนั้นไร้สาระ ผมตอบคำถามแบบทดสอบ myers briggs แล้วออกมาเป็นคนประเภท INFJ ซึ่งเมื่ออ่านบทวิเคราะห์แล้วก็ตรงมาก ใครสนใจลองทำบ้าง กด ที่นี่


ดังนั้นที่ถูกต้องกว่าน่าจะเป็นแบบนี้ครับ แบบทดสอบบุคลิกภาพทำให้เรารู้จักตัวเองว่าเรามีนิสัย มีจริต มีสันดาน มีกรรมเก่าแบบนี้ แต่ที่สุดแล้วถ้าเราอยากเปลี่ยนตัวเองเพื่อเป้าหมายบางอย่างนั้น เราก็ทำได้ เปลี่ยนแปลงตัวเองได้ แต่อย่างไรก็ตาม "ส่วนลึก ๆ ในตัวเรา" จะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงสักเท่าไหร่ วันนึงมันจะกลับมาที่สันดานเดิม (เว้นแต่จะเจอการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล เช่นในเล่มนี้พูดถึงการได้พบพระเจ้า)


Personality isn't Permanent หลุดกรอบบุคลิกภาพ เขียนโดย Benjamin Hardy สำนักพิมพ์ แคคตัสพับลิชชิ่ง ในเครือ B2S ราคาปก 269 บาท


2. ความสัมพันธ์ (Relation)

ดีที่สุดเล่มหนึ่งตั้งแต่ผมเคยอ่านหนังสือที่ว่าด้วย "ความสัมพันธ์" ผมให้นิยามสั้น ๆ สำหรับเล่มนี้ว่า "หนังสือโคตรไม่โรแมนติก" ที่บอกแบบนี้ก็เพราะประเด็นตั้งต้นของเนื้อหา ผู้เขียนบอกว่า ความเชื่อและค่านิยมต่าง ๆ เกี่ยวกับความรักที่เรายึดถือกันอยู่ตอนนี้นั้น เพิ่งเกิดขึ้นมาเมื่อ 250 ปีก่อน ซึ่งคือ "ยุคโรแมนติก" นั่นเอง โดยมันสืบทอดมาจนถึงยุคปัจจุบัน และยังถูกเล่าขานผ่านเพลง หนัง หนังสือ


ความเชื่อที่ว่านั้นก็อย่างเช่น ความรักคือการใช้ความรู้สึกนำพาหัวใจไป โลกนี้มีคนที่ใช่สำหรับเรา เขารอเราอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง เขาคือคนที่รู้ใจ พอดีกับเราไปเสียทุกอย่าง ไม่ต้องพูดอะไร เขาก็รู้ว่าเรารู้สึกอย่างไร ส่วนเราเองก็ไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตัวเอง เพราะรักแท้คือการที่ใครสักคนยอมรับในแบบที่เราเป็น เขาจะเป็นทุกอย่างให้กับเรา และเราสองคนจะไม่มีความลับต่อกัน


ทั้งหมดนี้ผู้เขียนบอกว่า นี่คือ "หายนะของความรัก" มันทำให้เกิดความคาดหวังที่ไม่มีทางสมหวังได้ง่าย ๆ ทำให้เกิดความกดดัน และชีวิตคู่จะกลายเป็นงานที่ยากลำบาก


วิธีที่ผู้เขียนนำเสนอ ก็คือ ให้แทนที่แบบแผนของลัทธิโรแมนติกด้วยความรักที่มีวุฒิภาวะทางจิตวิทยา เช่น ยอมรับว่าเราและคู่มีข้อบกพร่อง เราไม่มีวันพบทุกอย่างที่ถูกใจในคนอีกคน และเรื่องที่ดูไม่โรแมนติกอย่างเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เรื่องการรีดผ้าและการทำงานบ้าน ก็เป็นเรื่องที่คู่รักต้องตกลงกันให้ชัดเจน


ผมชอบที่หนังสือเล่มนี้เขียนสั้น กระชับ แบ่งเป็นบทสั้น 20 บท บทนึงไม่ถึง 10 หน้า ทั้งเล่มหนา 160 หน้า เล่มเล็กมาก แต่กลับครอบคลุมประเด็นที่น่าสนใจไว้มากมาย จนผมแทบจะขีดไฮไลท์ทุกบรรทัด ที่สำคัญภาษาตลกเสียดสีอย่างร้ายกาจ เนื้อหาผสมผสานปรัชญาและจิตวิทยาไว้ได้อย่างลงตัว (แต่บางบทอ่านยากสักนิด เพราะรูปประโยคซับซ้อนตามสไตล์ภาษาอังกฤษ และผู้แปลก็อยากคงโครงสร้างภาษาแบบนี้ไว้)


ขอยกตัวอย่างบางประโยคที่ผมชอบมาก ดังนี้


  • เราผิดพลาดที่คิดไปเองว่าเรารู้วิธีที่จะรักมาตั้งแต่ลืมตาดูโลก การจัดการความสัมพันธ์น่าจะเป็นเรื่องง่าย ๆ ตามสัญชาตญาณ แต่ความรักเป็นทักษะที่ต้องเรียนรู้มากกว่าจะเป็นอารมณ์ที่รู้สึก

  • ไม่มีคู่ครองในอุดมคติสำหรับเราอย่างแน่นอน อะไรก็ตามที่เราชอบมาก ๆ ในตัวใครสักคน จะทำให้เขาน่าหงุดหงิดรำคาญใจในแง่อื่น ๆ ด้วย เราอาจหันไปหาคนใหม่ที่น่ารัก ทว่าความน่ารักของเขาก็จะพ่วงความด่างพร้อยมาด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

  • เวลาคนรักของเราทำตัวเลวร้าย สิ่งที่เขาไม่ได้พูดแต่สมควรที่จะพูดก็คือ ลึก ๆ แล้วฉันยังเป็นเด็กทารกอยู่ และในตอนนี้ฉันอยากให้คุณเป็นพ่อแม่ของฉัน ฉันอยากให้คุณเดาให้ถูกว่าจริง ๆ แล้วฉันกำลังทรมานกับเรื่องอะไรกันแน่ เหมือนที่ผู้คนทำกับฉันสมัยที่ยังเป็นเด็ก ในตอนที่ความคิดเรื่องความรักของฉันเพิ่งจะเริ่มก่อตัวขึ้น

  • เมื่อคนมีสติปัญญาและคนอารมณ์อ่อนไหวมามีความสัมพันธ์กัน พวกเขามักจะตระหนักถึงเรื่องการใช้เวลาร่วมกัน (และเรื่องอื่น ๆ ที่สำคัญ) แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ค่อยได้ใคร่ครวญมากนักถึงคำถามที่ว่า แล้วใครจะเป็นคนรีดผ้า?


จริง ๆ หนังสือเล่มนี้ออกมาได้ 3 ปีแล้ว และเป็นหนึ่งในซีรีส์ The School of Life ซึ่งฉบับภาษาอังกฤษนั้นค่อนข้างโด่งดัง เป็นที่พูดถึง น่าเสียดายที่พอเป็นฉบับไทยกลับเงียบหายขายไม่น่าจะดี (ในชุดที่แปลไทยมี 5 เล่ม) ทั้งที่ทีมงานไทยก็ระดับแถวหน้า (ผู้จัดการโครงการโดย ปราบดา หยุ่น) ถ้าให้ผมเดา สาเหตุคงเพราะหน้าปกที่เรียบง่ายเกินไป ไม่มีคำอธิบายใด ๆ ที่จะดึงดูดให้เปิดอ่าน แถมยังเล่มเล็ก กระดาษธรรมดา คล้ายหนังสือที่อ่านจบแล้วทิ้งไว้ตามโรงแรมได้เลย ซึ่งต่างกับฉบับอังกฤษที่ทำปกแข็งอย่างดี ดูน่าสะสม (แต่ก็เข้าใจครับว่าแบบนั้นต้นทุนคงแพง และตั้งใจทำปกให้เรียบง่ายเหมือนหนังสือต้นฉบับ)


ไม่เกินไปถ้าจะบอกว่านี่คือหนึ่งในหนังสือที่ underrated หรือถูกให้คุณค่าต่ำกว่าความเป็นจริง ผมแนะนำให้หามาอ่านแบบสุด ๆ ครับ อาจหายากหน่อย เพราะออกมานานแล้ว


ความสัมพันธ์ โดย The School of Life สำนักพิมพ์ B2S ราคาปก 215 บาท


3.สูญสิ้นความเป็นคน (ฉบับการ์ตูน)

ตั้งใจว่าปีนี้จะลองอ่านอะไรที่นอกเหนือความเคยชินดูบ้าง ในที่สุดก็เจอการ์ตูนเล่มนี้ "สูญสิ้นความเป็นคน" เขียนโดย "ดะไซ โอซามุ" ผมเคยได้ยินหนังสือชื่อนี้ จำได้ว่าเป็นวรรณกรรมญี่ปุ่นสมัยใหม่ที่ถูกยกย่องว่าคลาสสิกขึ้นหิ้ง แต่ชื่อมันดูหดหู่เหลือเกิน อ่านแล้วกลัวจิตตก ก็เลยบอกผ่าน จนกระทั่งมาเจอการ์ตูนชุดนี้ รู้สึกแปลกใจและคิดว่าคงต้องดีจริง ไม่งั้นคงไม่มีใครเอามาเขียนการ์ตูน แถมยังมีแปลไทย ทำเป็นบ็อกซ์เซตด้วย ราคาก็ไม่ถูก และหาซื้อยากแล้ว


ผมตัดสินซื้อมาอ่าน จึงได้รู้ว่าผู้วาดการ์ตูนนั้นก็ไม่ธรรมดา "จุนจิ อิโต้" คือปรมาจารย์การ์ตูนสยองขวัญ ในไทยมีงานการ์ตูนของเขาแปลออกขายหลายเล่ม (ผมกำลังทยอยซื้อ) และถ้าเกิดทัน เมื่อ 30 กว่าปีก่อน มีหนังสือการ์ตูนชื่อ "ขวัญผวา" เคยนำงานของอาจารย์ท่านนี้มาลงไว้ด้วย


สรุปว่านี่คือหนังสือที่ "จุนจิ อิโต้" นักวาดแนวสยองขวัญ ใช้เนื้อเรื่องวรรณกรรมญี่ปุ่นที่ชื่อ "สูญสิ้นความเป็นคน" ของ "ดะไซ โอซามุ" นักเขียนผู้หม่นหมอง มาวาดเป็นการ์ตูน 3 เล่มจบ ผลลัพธ์ก็คือหนังสือที่โคตรดาร์ก มืดมิด แทบไม่เห็นแสงสว่าง แต่กลับน่าสนใจมาก เป็นประสบการณ์การอ่านหนังสือแบบที่ผมไม่เคยได้รับมาก่อน


มันไม่ใช่หนังสือการ์ตูนสำหรับเด็กแน่ ๆ เพราะมีฉากและเนื้อเรื่องไม่เหมาะสมหลายฉาก (หนังสือเขียนไว้ตัวเล็ก ๆ ว่า 18+) แต่สำหรับคนเป็นผู้ใหญ่ นี่คือหนังสือที่เล่าถึงเรื่องชีวิตของชายคนหนึ่งซึ่งมีปัญหาทางจิตใจ ตั้งแต่เด็กที่เขาได้รับเรื่องกระทบกระเทือนหลายอย่าง จนเติบโตมาระหว่างทางก็ยังได้พบพานเรื่องหลากหลายที่ลากเขาดำดิ่งลงสู่ความมืดดำของชีวิต ...ที่โหดร้ายที่สุดก็คือ เนื้อเรื่องเกือบทั้งหมดนี้คือเรื่องจริงที่เกิดกับชีวิตผู้เขียน "ดะไซ โอซามุ" ผู้จบชีวิตตัวเองในวัยไม่ถึง 40 ปี


คำถามก็คือ เราจะอ่านหนังสือหดหู่แบบนี้ไปทำไม? คำตอบที่ผมพอจะคิดออกก็คือ ได้เรียนรู้ชีวิตของคนหนึ่งซึ่งถูกแรงกดดันจากครอบครัว จากคนรอบข้างและจากสังคม บังเอิญว่าคนคนนี้ไม่เข้มแข็งพอ เข้ากับสังคมไม่ได้ ชีวิตจึงตกต่ำจนอาจเรียกได้ว่าค่อย ๆ "สูญสิ้นความเป็นคน" ซึ่งถ้าให้ผมนิยามก็ต้องบอกว่านี่คือหนังสือศิลปะ แต่เป็นศิลปะที่ตรงข้ามกับความสวยงามแบบที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ ทั้งเนื้อเรื่องและลายเส้นนั้นทำได้ดีมาก ฝีมือการวาดของ "จุนจิ อิโต้" น่าสะพรึง ติดตาไปอีกนานจนผมไม่กล้าอ่านซ้ำ


เล่มนี้ไม่แนะนำสำหรับคนที่คิดว่าตัวเองขวัญอ่อน กำลังมีปัญหาทางจิตใจ เพราะมันจะกระตุ้นอาการเหล่านั้น แต่สำหรับใครที่จัดการกับความรู้สึกตัวเองได้ อยากลองของแปลก ชอบอ่านการ์ตูน ชอบอ่านงานระทึกขวัญ รับได้กับฉากเพศและความรุนแรง อยากทำความเข้าใจด้านมืดของจิตใจมนุษย์ เล่มนี้แนะนำมาก ๆ ครับ ผมให้ 10/10 อาจหาซื้อยากสักหน่อย ลองค้นหาใน Shopee หรือที่อื่น ๆ ดูครับ "สูญสิ้นความเป็นคน" สำนักพิมพ์ Luckpim ราคาปกบ็อกซ์เซ็ต 3 เล่ม 690 บาท


4.สนทนากับพระเจ้า เล่ม 1 (Conversations with God Book1)

ผมได้ยินชื่อเสียงหนังสือเล่มนี้มานาน หยิบแล้ววางอยู่หลายครั้ง ซื้อมาก็ดองไว้เป็นเดือน จนกระทั่งในที่สุดได้อ่านจนจบครับ เข้าใจแล้วว่าทำไมบางคนชอบมาก บางคนไม่ชอบมาก เหตุก็เพราะเนื้อหาในเล่มท้าทายความเชื่อทางศาสนาและจิตวิญญาณพอสมควร รวมถึงวิธีการเขียนที่ผู้เขียนอ้างว่าเป็น "เสียงของพระเจ้า" ก็ย่อมก่อให้ความสงสัยไม่น้อยว่าจริงหรือเปล่า? หรือนี่เรากำลังอ่านหนังสือของคนเพี้ยนกันแน่?


บอกไว้ตรงนี้ก่อนครับว่านี่ไม่ใช่หนังสือของศาสนาคริสต์ ตรงกันข้าม สำหรับคนที่ศรัทธาในพระเจ้า อาจไม่ชอบหนังสือเล่มนี้เลยด้วยซ้ำ ผู้เขียนบอกว่าหนังสือเล่มนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ชีวิตของเขาพังไปหมดทุกทาง การงาน การเงิน สุขภาพ ความสัมพันธ์ แย่หมดทุกอย่าง เขาจึงเขียนจดหมายหาพระเจ้าถามว่าทำไมชีวิตเขาซวยซ้ำซากแบบนี้? เขาผิดอะไรมากนักหรือ?


ปรากฏว่ามีเสียงตอบกลับจากพระเจ้า เป็นเสียงในความคิดที่ทำให้เขาเขียนคำตอบที่เขาเองเป็นคนถาม เช่น ถ้าพระเจ้ามีจริง ทำไมไม่แสดงตัวให้เห็นชัด ๆ? ทำไมคำอธิษฐานของผู้คนไม่ได้รับการตอบรับทุกคน? ทำไมโลกนี้ยังมีปัญหา? เมื่อไหร่ชีวิตของผู้เขียนจะดีขึ้นสักที? ซึ่งไม่ว่าถามอะไรไป ก็จะมีคำตอบกลับมาให้ผู้เขียนเขียน และกลายเป็นที่มาของหนังสือเล่มนี้ (ซึ่งยังมีเล่ม 2 และ 3 ต่อไปอีก)


ดังนั้นรูปแบบการเขียนหนังสือเล่มนี้จึงอยู่ในรูปบทสนทนาถาม-ตอบ ไปเรื่อย ๆ จนจบเล่ม มีหลายคำตอบที่น่าสนใจ ผมขอยกมาบางประโยคครับ


  • -ภารกิจของเธอบนโลกไม่ใช่การเรียนรู้ เพราะเธอรู้อยู่แล้ว แต่คือการจดจำให้ได้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเธอคือใคร และจดจำว่าคนอื่นที่เหลือคือใครด้วย

  • ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควรในโลกของพระเจ้า จงทำสิ่งที่เธอต้องการทำ ทำสิ่งที่สะท้อนตัวเธอ ทำสิ่งที่แสดงถึงตัวตนอันงามสง่ายิ่งกว่าเก่า แต่ถ้าอยากรู้สึกแย่ ก็จงรู้สึกแย่ แต่อย่าพิพากษาหรือประนาม เพราะเธอไม่รู้หรอกว่าเพราะเหตุใดสิ่งต่าง ๆ จึงเกิดขึ้น และอะไรคือจุดสุดท้ายของมัน

  • วิธีที่เร็วที่สุดในการถอนรากความคิดก็คือ ให้กลับกระบวนการความคิด >ถ้อยคำ>การกระทำ จงทำสิ่งที่สอดคล้องกับความคิดใหม่ที่เธอต้องการมี จากนั้นให้กล่าวถ้อยคำที่สอดคล้องกับความคิดใหม่ที่เธอต้องการมี ถ้าทำอย่างนี้มากพอ เธอจะฝึกจิตใจให้คิดแบบใหม่ได้

  • ณ ช่วงเวลาสำคัญของทุกความสัมพันธ์ มีเพียงคำถามเดียวให้ถาม นั่นคือ "ความรักจะทำอย่างไรในตอนนี้?"

  • วิญญาณของเธอคือผลรวมของทุกความรู้สึกที่เธอเคยมี การรับรู้ถึงบางส่วนของมัน เรียกว่า "ความทรงจำ" (remember) เมื่อเธอมีความทรงจำจึงกล่าวกันว่าเธอกลับไปเป็นส่วนหนึ่งอีกครั้ง (re-member) นั่นคือกลับมารวมกัน นำส่วนต่างๆมาประกอบกันอีกครั้ง เมื่อเธอประกอบทุกส่วนเสี้ยวของตนเข้าด้วยกัน เธอจะจดจำได้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเธอคือใคร


จริง ๆ ยังมีประโยคที่ท้าทายความเชื่อกว่านี้มาก แต่ผมขอละไว้ให้ลองไปอ่านกันเองครับ เพราะอาจกระทบความเชื่อของใครหลายคน ผมเองเป็นคนที่สนใจศึกษาเรื่องศาสนาความเชื่อจิตวิญญาณ แต่ไม่ได้เคร่งอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นพิเศษ จึงไม่มีปัญหากับการอ่านหนังสือเล่มนี้


โดยสรุป ผมคิดว่าหนังสือเล่มนี้จัดอยู่ในกลุ่มหนังสือจิตวิญญาณ นิวเอจ New Thought ที่ผสมผสานแนวทางความเชื่อของหลายลัทธิและศาสนาเข้าด้วยกัน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากหนังสือเขียนขึ้นตั้งแต่ปี 1992 ผ่านมา 30 ปีแล้ว บางส่วนของเนื้อหาความคิดในเล่มจึงไม่ใช่เรื่องใหม่อีกต่อไป เราได้ฟังได้อ่านเรื่องทำนองนี้จากหนังสือหลายเล่ม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขอ เชื่อ รับ เรื่องสำนึกขอบคุณ เรื่องเลิกโทษคนอื่น เรื่องการตีความสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ...ถือเป็นหนังสือที่น่าสนใจ อ่านเพื่อถกเถียง ไม่ใช่อ่านเพื่อให้เชื่อหรือไม่เชื่อในทั้งหมดครับ


สนทนากับพระเจ้า เขียนโดย Neale Donald Walsch สำนักพิมพ์โอ้มายก้อด ราคาปก 280


5. "เปลี่ยนความชอบให้เป็นเงิน" และ"สร้างคอนเน็กชั่นแกร่งด้วยจุดแข็งของมนุษย์อินโทรเวิร์ต"

2 เล่มนี้คนเขียนคนเดียวกัน ใช้นามปากกาว่า "Mentalist DaiGo" หรือ ไดโกะ นักอ่านใจ เขาคือหนุ่มญี่ปุ่นวัย 30 กว่าปี ที่อ่านหนังสือปีละ 3,000 เล่ม (โอโห!) หนังสือของเขาจึงเสมือนการรวบรวมความรู้จากหนังสือที่เขาอ่าน แล้วเล่าออกมาในภาษาง่าย ๆ เหมือนเพื่อนคุยให้เพื่อนฟัง ผมจะเขียนถึงทีละเล่มครับ


เล่มแรก สีส้ม "เปลี่ยนความชอบให้เป็นเงิน" เล่มนี้คอนเส็ปต์ก็คือ ค้นหาสิ่งที่เราชอบให้เจอ จากนั้นฝึกฝนสิ่งนั้นให้เก่ง ลงทุนเงิน แรง เวลาไปกับสิ่งนั้น แล้วทำให้เป็นอาชีพให้ได้ เมื่อได้เงินกลับมา ก็เอาเงินนั้นมาลงทุนในสิ่งที่ชอบต่อไปอีก เราก็จะยิ่งเก่งในสิ่งที่ชอบยิ่งขึ้นไปอีก วนเวียนหมุนเป็นวงจรที่ไม่รู้จบแบบนี้ไปเรื่อย ๆ


สรุป ถือเป็นหนังสือที่เหมาะกับคนที่กำลังค้นหาตัวตน อยากเปลี่ยนสิ่งที่ชอบให้เป็นอาชีพที่ทำเงิน อ่านสนุก เข้าใจง่าย ทำตามได้เบื้องต้นครับ ถ้าใครเคยอ่านหนังสือ Flow ของ Mihaly Csikszentmihalyi หนังสือ Influence ของ Robert Cialdini หนังสือ Give and Take ของ Adam Grant หนังสือ "เปลี่ยนความชอบให้เป็นเงิน" เล่มนี้คือการจับ 3 เล่มนี้มาเขย่ารวมกัน


เล่มสอง สีขาว "สร้างคอนเน็กชั่นแกร่งด้วยจุดแข็งของมนุษย์อินโทรเวิร์ต" เล่มนี้ตั้งชื่อหนังสือเรียกร้องความสนใจได้ดีครับ คอนเส็ปต์ก็คือ แม้แต่คนที่อาจจะไม่ได้เก่งในการพบปะผู้คน ก็สร้างคอนเน็คชั่นใหม่ ๆ ได้ ขอเพียงเรามีคนที่รู้จักที่เป็น Super Connector เพียงไม่กี่คน (คนที่มีคอนเน็คชั่นเยอะและแข็งแกร่ง) เขาก็จะเชื่อมโยงเราให้รู้จักกับคนของเขาได้อีกมากมาย นอกจากคอนเส็ปต์นี้แล้ว ในเล่มยังแนะนำเทคนิคต่าง ๆ ที่น่าสนใจในการสร้างหรือรักษาสายสัมพันธ์ เช่น ใน 10 วันควรทำให้อีกฝ่ายนึกเราอย่างน้อย 1 ครั้ง ขอคำแนะนำจากอีกฝ่ายที่ทำให้เขาได้ใช้ความถนัดของเขาแนะนำเรา รวมถึงเทคนิคอื่น ๆ ในการสื่อสาร เช่น วิธีทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเราเหมือนเขา 36 คำถามช่วยให้สนิทสนมกับใครก็ได้


สรุป ถือเป็นหนังสือสำหรับคนที่อยากเพิ่มเพื่อน อยากรู้จักคนใหม่ ๆ เพราะตระหนักดีว่า โชคดีนั้นมากับผู้คน เพื่อนใหม่ ๆ จะนำโอกาสใหม่ ๆ มาให้เรา เล่มนี้ก็อ่านง่ายครับ มีภาพการ์ตูนประกอบด้วย


"เปลี่ยนความชอบให้เป็นเงิน" ราคาปก 235 บาท "สร้างคอนเน็กชั่นแกร่งด้วยจุดแข็งของมนุษย์อินโทรเวิร์ต" ราคาปก 235 บาท ทั้งสองเล่มโดยสำนักพิมพ์อมรินทร์


6. So Close yet So Far ระยะห่าง ระหว่างเรา

หนังสือที่งดงามทั้งภาพและตัวอักษร "So Close yet So Far ระยะห่าง ระหว่างเรา" ผลงาน "หนังสือภาพ" เล่มใหม่ของ "จิมมี่ เลี่ยว" นักวาดภาพชาวไต้หวัน ที่มีชื่อเสียงระดับโลก



ต่อให้ใครสักคนไม่เคยรู้จักเขาคนนี้ อย่างน้อยก็น่าจะเคยได้ยินคำว่า "ผู้หญิงเลี้ยวซ้าย ผู้ชายเลี้ยวขวา" นี่ชื่อชื่อหนังสือเล่มดังของเขาในปี 1999 A Chance of Sunshine ใครไม่เคยสัมผัสงานของจิมมี่ ผมแนะนำมาก ๆ ครับ งานของเขาคือศิลปะ ภาพสวย จิตนาการสูง โรแมนติก เหงาศร้ากำลังดี ตัวหนังสือเขียนน้อย แต่ต่อยหนักทุกตัวอักษร


ส่วนใครที่เป็นแฟนหนังสือของเขาอยู่แล้ว เล่มนี้ไม่ต้องลังเล เห็นแล้วซื้อเลย (เหมือนผม) เอาตรง ๆ ผมชอบเล่มนี้มากกว่า "ผู้หญิงเลี้ยวซ้าย ผู้ชายเลี้ยวขวา" เสียอีก ภาพสวยงาม เน้นมุมมองแบบ perspective (มีความลึก)


ในคำนำบอกว่านี่คือเรื่องราวของคู่รักอีกคู่หนึ่งที่จิมมี่ยังคงรู้สึกค้างคาในใจ และอยากเล่ามันออกมา ผลลัพธ์ก็คือเรื่องราวของชายหญิงคู่หนึ่งที่เติบโตมาด้วยตั้งแต่เล็ก บ้านใกล้กัน เรียนที่เดียวกัน ชอบพอซึ่งกัน แล้ววันหนึ่งกาลเวลาก็จับสองคนนี้ให้อยู่ห่างกันแสนไกล เพื่อที่จะพบว่าเมื่อกลับมาเจอกันอีกครั้ง ความรู้สึกนั้นยังเหมือนเดิม...แต่กลับไม่รู้จะเริ่มอย่างไร


เช่นเคย เล่มนี้แฟนหนังสือ จิมมี่ เลี่ยว ยังคงได้สนุกกับการเฝ้าสังเกต "จักรวาล" ที่เขารังสรรค์ขึ้น แทบทุกเล่มจะมีตัวละครนั้นนี้จากเล่มอื่น ๆ มาโผล่บนหน้ากระดาษ มีเจ้ากระต่ายยักษ์ นกยักษ์ แต่ที่พิเศษสำหรับเล่มนี้คือ มีหลายฉากที่จิมมี่ตั้งใจนำมาจากหนังสือ "ผู้หญิงเลี้ยวซ้าย ผู้ชายเลี้ยวขวา" เรียกว่าถ้าเปิด 2 เล่มนี้เทียบกัน จะยิ่งสนุกมาก ราวกับได้เห็นจักรวาลคู่ขนานของสองคู่รัก


ที่ยอดเยี่ยมอีกอย่างจนต้องชมก็คือ การถอดความเป็นภาษาไทยนั้นงดงามราวบทกวี ถือเป็นเรื่องถูกต้องที่เลือกผู้แปลอย่าง คุณอนุรักษ์ กิจไพบูลทวี มาแปลเล่มนี้อีกครั้ง เพราะแทบทุกเล่มของจิมมี่ แปลโดยเขาผู้นี้


เล่มนี้ผมมีข้อติอยู่อย่างเดียวก็คือ เล่มเล็กไปหน่อย จึงชื่นชมความงามของภาพวาดได้ไม่เต็มตา เข้าใจว่าถ้าเล่มใหญ่ก็คงต้นทุนสูง ตลาดหนังสือบ้านเราน่าจะยังไม่ตอบรับกับหนังสือภาพสักเท่าไร (เหมือนซื้อแล้วไม่คุ้ม อ่านจบไว) ...อยากบอกว่าเล่มนี้ผมเชียร์แบบออกนอกหน้าครับ อ่านสามรอบ ก็ยังมองเห็นอะไรใหม่ ๆ ที่ซ่อนอยู่ในหนังสือ ของเขาดีจริง ๆ


"So Close yet So Far ระยะห่าง ระหว่างเรา" สำนักพิมพ์ piccolo ในเครืออมรินทร์ ราคาปก 285 บาท


7. 140 ปีการ์ตูนเมืองไทย

ใครโตมากับการ์ตูน เล่มนี้ต้องซื้อครับ "140 ปีการ์ตูนเมืองไทย" ผมอ่านอย่างเพลิดเพลินจนจบเล่ม นับถือในความอุตสาหะของผู้เขียน/เรียบเรียงอย่างคุณ ไพศาล ธีรพงศ์วิษณุพร ที่ใช้เวลาสิบปีในการรวบรวมมหาศาลข้อมูลเกี่ยวกับการ์ตูนที่เกิดขึ้นในประเทศไทย


ผู้เขียนย้อนเรื่องราวตำนานการ์ตูนตั้งแต่ปี พ.ศ.2417 ที่ในสมัยนั้นการ์ตูนหมายถึงภาพล้อ และมักยึดโยงไปถึงเรื่องราวการบ้านการเมืองในยุคนั้น แล้วค่อย ๆ คลี่คลายในการรับรู้ เริ่มนำวรรณคดีไทย เรื่องราวพื้นบ้านมาเล่าผ่านการ์ตูนช่อง เริ่มได้รับอิทธิพลจากการ์ตูนดิสนีย์ เริ่มเกิดขึ้นเป็นลายเส้นแบบนิยายภาพไทย (ซึ่งในเวลาต่อมาจะกลับมาเกิดใหม่ในร่างของการ์ตูนเล่มละบาท) และเริ่มมีหนังสือการ์ตูนเด็กเกิดขึ้น (ตุ๊กตา เบบี้ หนูจ๋า)


จนกระทั่งการมาถึงของการ์ตูนญี่ปุ่นทางทีวีช่วงปี พ.ศ.2510 (เจ้าหนูปรมาณู หุ่นอภินิหาร จัมโบ้เอ) จนเกิดเป็นหนังสือการ์ตูนเล่มตามมา (ซึ่งวาดโดยคนไทย) ก่อนจะเริ่มมีการนำการ์ตูนญี่ปุ่นแท้ ๆ มาแปลไทยในที่สุด (อุลตร้าแมน ไอ้มดแดง) จากนั้นการ์ตูนญี่ปุ่นแปลไทยก็เริ่มทะลักเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เช่น ไออิกับมาโกโต้ วีรบุรษลหุโทษ แคนดี้จอมแก่น โดเรมอน (หรือโดราเอมอน ถ้าเป็น สนพ.มิตรไมตรี)


ในความคิดเห็นของผม จุดเริ่มต้นแห่งความพีคสำหรับการ์ตูนญี่ปุ่น น่าจะเป็นการมาถึงของ The Zero ในปี พ.ศ.2527 หนังสือการ์ตูนรายสัปดาห์ที่โด่งดังมากในยุคนั้น เพราะรวมการ์ตูนดัง ๆ ไว้หลายเรื่อง ซึ่งเรื่องที่ดังที่สุด จะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจาก "ดราก้อนบอล" ยุคนั้นเด็กไทยติดการ์ตูนญี่ปุ่นกันหลายเรื่อง เช่น ซิตี้ฮันเตอร์ เซนต์เซย่า โรงเรียนลูกผู้ชาย โคทาโร่


แต่ทั้งหมดนี้ คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนการมาถึงของกฏหมายลิขสิทธิ์ช่วงปี พ.ศ.2535-2536 ที่อเมริกาเอาจริงกับหลายประเทศ ไทยคือหนึ่งในนั้น ช่วงนั้นหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นแปลไทยต้องปรับตัวครั้งใหญ่ เกิดสูญญากาศอยู่พักนึง ก่อนที่วิบูลย์กิจจะกลับมาเปิดตลาดอีกครั้งอย่างถูกลิขสิทธิ์ KC Weekly, Boom และ C-Kids คือ 3 เล่มจาก 3 สนพ. ที่เป็นหนังสือการ์ตูนรายสัปดาห์ที่เด็กยุคนั้นแย่งกันซื้อแย่งกันอ่าน


เรื่องราวหลังจากนั้น หนังสือ "140 ปีการ์ตูนเมืองไทย" เล่มนี้ยังเล่าไว้อีกเยอะครับ (และละเอียดมาก) เรื่องราวดำเนินมาถึงปี พ.ศ.2557 และหยุดไว้ตรงนั้น อันเป็นยุคหัวเลี้ยวหัวต่อ เพราะการมาถึงของยุค "อ่านการ์ตูนออนไลน์"


ใครอยากอ่านเต็ม ๆ ต้องซื้อเล่มนี้มาอ่านครับ ของดี น่าอ่าน น่าสะสม และนอกจากเรื่องราวของการ์ตูนแล้ว ในเล่มผู้เขียนยังเล่าเรื่องเหตุบ้านการเมืองในแต่ละยุคควบคู่ไปด้วย (ในปริมาณที่ไม่น้อย) ก็เลยยิ่งทำให้เราเห็นบริบทของการ์ตูนในละช่วงทศวรรษชัดเจนยิ่งขึ้น เล่มนี้ถือเป็นวิทยานิพนธ์วงการการ์ตูนในไทยได้เลยครับ


"140 ปีการ์ตูนเมืองไทย" สำนักพิมพ์ศรีปัญญา ราคาปก 625 บาท


8. หนังสือในซีรีส์ The School of Life

แนะนำ 3 เล่มรวด เล่มเล็ก ไม่หนา พกไปได้ทุกที่ แบ่งเวลาไถจอมาอ่าน รับรองวันละเล่มจบแน่นอน อันที่จริง 3 เล่มนี้ออกมาได้ 2-3 ปีแล้วครับ เป็น 3 ใน 5 เล่มของซีรีส์ The School of Life ที่ได้รับการแปลไทย (ฉบับอังกฤษมีเยอะกว่านี้) ผมเคยแนะนำไปแล้ว 2 เล่มก่อนหน้า ชื่อ "การงานที่รัก" กับ "ความสัมพันธ์"


The School of Life คือการรวมตัวกันของนักคิด/นักเขียน/นักการศึกษา พวกเขาเน้นให้ความรู้เรื่องเกี่ยวกับความฉลาดทางอารมณ์ ผ่านทางสื่อหลายรูปแบบเช่น หนังสือ วิดีโอ (มีช่อง youtube ที่มีวิดีโอความรู้เจ๋ง ๆ สั้น ๆ ในชื่อ The School of Life ด้วย ลองดูครับ โคตรดี) ส่วนผมนั้นชอบหนังสือในซีรีส์นี้เพราะมันผสมผสานจิตวิทยา ปรัชญา ประวัติศาสตร์เข้าไว้ด้วยกัน และสื่อสารบนสำเนียงภาษาที่ "แสบ" มาก ผมจะขอพูดถึง 3 เล่มนี้ทีละเล่ม ดังนี้



เล่มที่หนึ่ง ปกฟ้า ความจิตใจดี (On Being Nice) ผู้เขียนเกริ่นนำว่าหนังสือจำนวนมากสอนเรื่องความร่ำรวย เรื่องสุขภาพ แต่เล่มนี้อยากช่วยให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น ในความหมายว่าขี้หงุดหงิดน้อยลง รับฟังมากขึ้น อดทนมากขึ้น และการเป็นคนจิตใจดีนั้นไม่ได้หมายความว่าเรา "อ่อน" ผมชอบที่เขาเปิดประเด็นได้น่าสนใจว่าทำไมเราไม่ค่อยอยากเป็นคนจิตใจดีกันนะ? คำตอบแบบสั้น ๆ ก็คือ เรากลัวกลายเป็นคนอ่อนแอ น่าเบื่อ ถูกเอาเปรียบ หรือกลายเป็นคนไม่มีเสน่ห์แพรวพราว


แต่ทั้งหมดนี้ไม่จริงเลย หนังสือบอกว่าคนจิตใจดีคือคนที่จิตใจแข็งแกร่งด้วยซ้ำ คนจิตใจดีคือคนที่เข้าอกเข้าใจคนอื่น แม้แต่คนที่สร้างความหงุดหงิดให้เรา เพราะคนจิตใจดีรู้ว่า "อย่าได้กล่าวว่าคนอื่นเป็นมารร้าย เธอแค่ต้องมองหาเข็มเล่มนั้น (ที่มาของความเจ็บปวดที่ทำให้คนคนนั้นประพฤติตนเลวร้าย) ภายนอกเขาอาจดูร่าเริงและคิดถึงแต่ตัวเอง แต่ เข็มยังต้องคงอยู่แน่ ๆ มิฉะนั้นเขาจะทำร้ายเราหรือ?"


ช่วงกลางถึงท้ายเล่ม หนังสือยังให้คำแนะนำที่น่าสนใจในการผูกมิตรและเข้าใจผู้คน ไม่ว่าจะเป็น วิธีเป็นคนอบอุ่น วิธีเป็นผู้ฟังที่ดี วิธีเป็นคนใจกว้าง วิธีเป็นคนไม่น่าเบื่อ แต่ละอันเขียนได้แสบ ๆ คัน ๆ แต่จริงทั้งหมด


เล่มที่สอง ปกเหลือง ความสุขเล็ก ๆ (Small Pleasures) สารภาพว่าเล่มนี้ไม่ค่อยโดนใจผมเท่าไร แต่อาจโดนใจคนอื่นก็ได้ครับ เล่มนี้แตกต่างจากเล่มอื่นในซีรีส์ เพราะคือการรวมหลายสิบไอเดียที่จะทำให้เรามีความสุขเล็ก ๆ บางอันก็เป็นเรื่องพื้นฐานที่เข้าใจได้ (เช่น มองนอกหน้าต่าง แช่น้ำอุ่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง ตื่นเช้า ขับรถตอนถนนโล่ง มีเพื่อนที่เข้าใจ) แต่บางอันก็ฟังดูแปลกหู (เช่น ลองมองโลกแง่ร้าย อ่านข่าวอาชญากรรม มีเพื่อนร่วมชังเรื่องเดียวกัน) อย่างไรก็ตาม ถึงบางอันจะฟังดูธรรมดา ๆ แต่วิธีการเขียนก็ไม่ธรรมดา เขาบรรยายแต่ละไอเดียราวกับเราได้ทำสิ่งนั้นแล้วจริง ๆ (แม้บางอันจะ "ฝรั่ง" ไปหน่อย เช่น อาบแดด) เล่มนี้เหมาะกับคนที่อยากอ่านอะไรสั้น ๆ เป็นตอน ๆ เปิดอ่านหน้าไหนก่อนก็ได้ เผื่อจะได้ไอเดียสร้างความสุขแบบง่าย ๆ ในช่วงเวลาที่ต้องการกำลังใจอย่างมาก


เล่มที่สาม ปกแดงน้ำเงิน ความมั่นใจในตัวเองและการรู้จักตัวเอง (On Confidence & Self-Knowledge) เล่มนี้มาแปลก คือ 2 in 1 ความหมายคือมี 2 เล่มรวมไว้ในเล่มเดียว แต่ละเรื่องหนาเพียง 90 หน้าเท่านั้น


  • ความมั่นใจในตัวเอง ผู้เขียนบอกว่าความมั่นใจเป็นทักษะที่ฝึกกันได้ หลายประโยคผมชอบมาก ขอยำ ๆ รวมกันประมาณนี้ครับ "คนเรารู้จักตัวเองจากภายใน แต่รู้จักคนอื่นจากภายนอก เรารู้ดีถึงความวิตกกังวลและความหวาดหวั่นทั้งหลายของตัวเอง แต่เรารู้เรื่องของคนอื่นจากสิ่งที่เขาบังเอิญทำให้เห็นหรือบอกเราเท่านั้น ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่แคบกว่าและผ่านการแต่งเติมเสริมต่อมากกว่า ถนนสู่ความมั่นใจที่เพิ่มขึ้น เริ่มต้นได้ด้วยการบอกตัวเองอย่างสม่ำเสมอและจริงจังทุกเช้าว่ามนุษย์ทุกคนล้วนเป็นคนโง่ ทึ่ม สมองตัน ดังนั้นต่อให้ทำเรื่องโง่ ๆ เพิ่มอีกสักหน่อย ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย"

  • การรู้จักตัวเอง ผู้เขียนบอกว่า แม้เราจะเป็นเจ้าของร่างกายของเรา แต่เราแทบไม่เคยเข้าใจตัวตนภายในของเราเลย เขาจึงแนะนำเครื่องมือที่จะทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น ได้แก่ หนึ่ง การทำสมาธิในเชิงปรัชญาผ่าน 3 คำถามสำคัญ (ตอนนี้เรากังวลเรื่องอะไรบ้าง ตอนนี้เราไม่พอใจเรื่องอะไรบ้าง ตอนนี้เราตื่นเต้นเรื่องอะไรบ้าง) สอง รู้จักส่วนผสมอารมณ์ของเรา (มี 4 อย่างคือ ความรักตัวเอง...เรามีแค่ไหน? การเปิดใจ...กล้ายอมรับข้อบกพร่องของตัวเองแค่ไหน? การสื่อสาร...เก็บกดหรือปลดปล่อยให้คนอื่นเข้าใจ? และความเชื่อมั่น...คนอื่นและโลกใบนี้ร้ายหรือดีกับเรา?) เนื้อหาส่วนนี้ยังมีที่น่าสนใจอีกเยอะ ผมชอบมาก เช่น เรื่องเสียงในหัวของเรา เรื่องที่คนเรามักปกปิดความรู้สึกลึก ๆ ของตัวเองผ่านทางการกระทำต่าง ๆ (เช่น ทำเป็นเย็นชา ทำเป็นตลกกลบเกลื่อน ทำเป็นหงุดหงิดเสียทุกเรื่อง) ...รวม ๆ แล้วเนื้อหาในส่วนนี้คือ "การรู้เท่าทันอารมณ์" นั่นเอง


ทั้งสามเล่ม อาจหาซื้อยากหน่อย เพราะออกมาสักพักแล้ว ปกที่ออกแบบมินิมอล ชื่อหนังสือที่เรียบง่ายไม่อธิบายอะไรเลย จึงอาจทำให้หนังสือชุดนี้ถูกมองข้ามไป (ผมก็คนหนึ่ง) แต่เนื้อหาข้างในนั้น ดีจริง ๆ


ทั้ง 3 เล่ม สำนักพิมพ์ B2S เล่มที่หนึ่ง ราคาปก 185 บาท เล่มที่สอง ราคาปก 295 บาท เล่มที่สาม ราคาปก 239 บาท



1,734 views0 comments
Home: Blog
Screen Shot 2561-12-19 at 01.56.23.png
Screen Shot 2561-12-19 at 01.56.34.png

กรอกข้อมูล รับฟรี! ebook บนท้องฟ้ารถไม่เคยติด

bottom of page