[ต่อจากตอนที่แล้วหนังสือที่อ่านแล้วชอบ Q2 2021 (ตอน 1)] เป็นประจำทุกสัปดาห์ ผมจะแนะนำหนังสือที่อ่านแล้วชอบไว้ในแฟนเพจ boy's thought อย่างไรก็ตาม ด้วยระบบของ facebook ทำให้การสืบค้นโพสต์เก่า ๆ ทำได้ยาก ผมจึงนำมารวบรวมไว้ในเว็บไซต์ เผื่อว่าใครจะลองไปหามาอ่านบ้าง โดยครั้งนี้จะเป็นหนังสือที่ผมอ่านในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน 2021 ครับ มาต่อกันอีก 7 เล่มที่เหลือครับ
9. The Having ความลับของความมั่งมี
เดี๋ยวนี้นอกจากหนังสือแปลฮาวทูของฝรั่งและญี่ปุ่นแล้ว ฮาวทูเกาหลีก็เริ่มได้รับความนิยมไม่แพ้กัน ขอบคุณ สนพ.howto ในเครืออมรินทร์ ที่ส่งเล่มนี้มาให้อ่านครับ หน้าปกสวยดึงดูดสายตาจนต้องหยิบอ่านทันที พออ่านจบก็เต็มไปด้วยความรู้สึกที่อยากชวนคุยครับ
"The Having ความลับของความมั่งมี" เขียนขึ้นด้วยวิธีที่น่าสนใจ หนังสือเล่าราวกับเรากำลังอ่านนิยายเกาหลีเล่มหนึ่ง ซึ่งมีตัวละครคือ 2 สาวที่จะโคจรมาพบกัน
สาวคนแรก เป็นอดีตนักข่าวสาววัย 40 ปี "ฮงยนจู" เธอมีปมชีวิตคือ พ่อผู้ประหยัดอดออมทั้งชีวิตเพราะอยากรวย ไม่ยอมใช้เงิน ตระหนี่เกินเหตุ วันนึงพ่อถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง และเสียชีวิตพร้อมกับคำสั่งเสียก่อนตายว่า "พ่ออยากรวย แต่พ่อเข้าใจผิดเรื่องมัธยัสถ์ เอาแต่เก็บเงิน แต่ไม่รวยสักที ช่วยหาคำตอบแทนพ่อด้วยว่าทำอย่างไรจะมั่งคั่ง" ฮงยนจูสัญญากับพ่อว่าจะหาความลับของความร่ำรวยให้ได้ เพราะเธอเองทุกวันนี้ฐานะก็ยังลุ่ม ๆ ดอน ๆ แถมยังติดนิสัยประหยัดเกินไปจากพ่อด้วย จนกระทั่งวันหนึ่ง มีคนแนะนำว่าเธอน่าจะไปขอคำแนะนำจาก "กูรูแห่งความร่ำรวย" สิ และนั่นจึงนำเข้าไปสู่ตัวละครที่ 2
สาวคนที่สอง วัย 40 เจ้าของฉายากูรูแห่งความร่ำรวย "ลีซอยูน" เธอคนนี้ประวัติช่างน่าทึ่ง เป็นอัจฉริยะตั้งแต่เด็ก ศึกษาภาษา คณิตศาสตร์ ปรัชญา อ่านวรรณกรรมยาก ๆ พอตอน 6 ขวบย่าก็ทำนายว่าเธอจะโตขึ้นมาเป็นผู้ชี้ทางให้คนอื่นร่ำรวย ลีซอยูนศึกษาชีวิตคนหลายหมื่นคนที่สร้างตัวเองขึ้นมาจนร่ำรวย แค่เพียง ม.5 ก็มีคนรวย ๆ มาต่อแถวขอคำแนะนำ เมื่อเข้าสู่ปี 2000 ชื่อเสียงลีซอยูนยิ่งโด่งดัง เธอออกเดินทางไปหลายประเทศพบปะผู้ทรงปัญญาทั่วโลก เธอเรียนจบตรีบริหารธุรกิจ โทรัฐประศาสนศาสตร์ และกลายเป็น "กูรูแห่งความร่ำรวย" ให้คำปรึกษากับเจ้าของกิจการและผู้บริหารบริษัท Top100 เกาหลี นักลงทุนหุ้นและอสังหามาขอคำแนะนำจากเธอว่าควรลงทุนที่ไหนเมื่อไหร่ เธอออกหนังสือบริหารการเงินส่วนบุคคลและขายดีติดอันดับ สื่อสัมภาษณ์เธอมากมาย อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี 2013 เธอหายตัวไปจากสื่อ แว่วข่าวว่าเธอพักผ่อนอยู่สักแห่งในยุโรป และแทบไม่รับนัดใครอีกเลย
อย่างไรก็ตาม เมื่อนักข่าว "ฮงยนจู" อีเมลไปหา "ลีซอยูน" กูรูแห่งความร่ำรวยกลับรับนัด เธอจึงรีบบินไปมิลาน และนำไปสู่บทสนทนากับคำแนะนำที่กลายมาเป็นหนังสือเล่มนี้ "The Having ความลับของความมั่งมี"
นั่นคือโครงเรื่องคร่าว ๆ ของหนังสือเล่มนี้ครับ ฟังดูน่าสนุกถ้าเป็นหนังหรือซีรีส์สักเรื่อง "นักข่าวสาวกับการตามหาคำตอบของความร่ำรวย ด้วยความช่วยเหลือของกูรู" จริงอยู่ว่าคำแนะนำที่กูรูให้ไว้นั้น หลาย ๆ ข้อถ้าใครอ่านหนังสือแนว ๆ นี้ก็จะคุ้นเคยดี เช่น ให้รู้สึกถึงความมั่งคั่ง ให้มีสำนึกของการรู้สึกขอบคุณในสิ่งที่มีอยู่ ให้จดบันทึกความรู้สึกมั่งมี แต่เพราะหนังสือเขียนในรูปแบบของบทสนทนา มีตัวละครดำเนินเรื่อง หนังสือเล่มนี้จึงอ่านง่าย แค่ 2 ชั่วโมงก็จบแล้ว
อย่างไรก็ตาม หนังสือเล่มนี้ไม่ได้วางตัวเป็น fiction หรือเรื่องแต่ง แต่วางตัวเป็น non fiction หรือเรื่องจริง เป็นหนังสือฮาวทูที่ให้คำแนะนำว่า "ทำอย่างไรจะร่ำรวย?" มีตัวตนคนเขียนอยู่จริง ๆ (ลองดู เว็บไซต์ของ "ลีซอยูน" นึกว่านางเอกหนังเกาหลี) พอเป็นแบบนี้ สารภาพว่าผมอ่านไปก็ตั้งข้อสงสัยไปว่า "โอโห ขนาดนั้นเลยเหรอ?" ในหนังสือบรรยายกูรูความร่ำรวยท่านนี้ไว้อย่างเลิศเลอ เธอให้คำแนะนำได้ทั้งด้านการเงินส่วนบุคคล การบริหารจัดการ การลงทุน แถมยังทำนายอนาคตได้อีกด้วย อดคิดไม่ได้เลยว่า ถ้านี่เป็นหนังสือที่เขียนโดยคนไทย คงต้องถูกตั้งคำถามมากมายว่า "เธอคือใคร?"
ผมไม่มีข้อสรุปเกี่ยวกับกูรูท่านนี้ แต่ถ้าใครอยู่เกาหลี หรืออ่านภาษาเกาหลีได้ อยากวานให้ลองหาข้อมูลหน่อยครับว่าเธอมีชื่อเสียงโด่งดังในประเทศเกาหลีอย่างไรบ้าง ผมเองหาได้แต่ข้อมูลภาษาอังกฤษ (เธอชื่อ suh yoon lee) ซึ่งก็ไม่มีข้อมูลอื่นมากไปกว่าเธอคือผู้เขียนหนังสือเล่มนี้
ทั้งหมดที่เขียนมา ไม่ใช่ว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ดีนะครับ เนื้อหาดีเลยล่ะ อาจเคยอ่านในเล่มอื่นแล้วในหนังสือแนวพลังจักรวาล แต่ได้รับการตอกย้ำอีกที ก็ถือว่าได้เตือนใจครับ ผมไม่ได้ติดขัดเรื่องพลังแห่งการขอบคุณ การรู้สึกว่าตัวเองมั่งมี ช่วงหนึ่งของชีวิตผมเองก็เคยใช้วิธีนี้ และมันได้ผล (แต่ต้องลงมือทำด้วยนะ ไม่ใช่เอาแต่มโน)
"The Having ความลับของความมั่งมี" สำนักพิมพ์อมรินทร์ ราคาปก 255 บาท
10. แปดขุนเขา
หนังสือวรรณกรรมอิตาลีแนะนำครับ ภาษาละเมียดละไม อ่านแล้วดับร้อน ดับความวุ่นวายของโลกยุคนี้ได้ดีทีเดียว "แปดขุนเขา" เล่าเรื่องจากมุมมองของชายคนหนึ่ง ชื่อ "ปิเอโตร" ตั้งแต่เขายังเด็กจนถึงอายุสี่สิบกว่า ชีวิตวัยเด็กปิเอโตรเคยขึ้นไปอยู่บ้านเช่าบนหุบเขา พ่อเขารักการเดินขึ้นภูเขาสูง และชวนเขาเดินขึ้นไปด้วยกันเสมอ (แม้ว่าเขาจะไม่อินและเป็นโรคแพ้ความสูงก็ตาม) ที่นี่เองปิเอโตรได้พบเพื่อนใหม่ "บรูโน่" เด็กชายผู้เกิดและเติบโตบนเขา วัน ๆ มีหน้าที่เลี้ยงวัว ทั้งชีวิตแทบไม่เคยไปไหน แต่ก็มีทักษะชีวิตในแบบ "คนภูเขา" ที่คนเมืองแบบเขาไม่มี
เด็กชายสองคนนี้กลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน และมิตรภาพนี้จะยืนยาวไปอีกนาน แม้ว่าบางช่วงชีวิตของทั้งคู่จะต้องแยกจากกันไปนับสิบปี เพื่อกลับมาพบกันใหม่ ด้วยภารกิจบางอย่างที่พ่อของปิเอโตรมอบไว้ให้
เนื้อเรื่องเล่าได้ประมาณนี้ครับ ที่เหลือต้องไปอ่านเอง แต่บอกไว้ก่อนว่านิยายเรื่องนี้ไม่ได้มีเรื่องราวหวือหวา พล็อตหักมุมหรือเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ประมาณว่าถ้าเป็นหนัง ก็ไม่ใช่หนังฮอลลีวู้ด แต่เป็นหนังยุโรปแนวเส้นเรื่องน้อย ๆ แต่เต็มไปด้วยอารมณ์ลึก ๆ บรรยายฉากและความรู้สึกนึกคิดได้อย่างเห็นภาพ มีหลายประโยคที่ผมชอบ ขอยกบางตัวอย่างครับ
อดีตก็คือน้ำที่ไหลผ่านเราไปแล้ว คือน้ำที่ไหลลงไปข้างล่าง ซึ่งไม่มีอะไรให้เราอีก ส่วนอนาคตคือน้ำที่กำลังไหลลงมาจากข้างบน พาอันตรายและสิ่งไม่คาดคิดมาด้วย อดีตอยู่ในหุบเขา อนาคตอยู่บนเขา ไม่ว่าโชคชะตาจะคืออะไร มันสถิตอยู่ในขุนเขาเหนือศีรษะเรา
เราแต่ละคนมีระดับความสูงของภูเขาที่ตนโปรดปราน มีทิวทัศน์ที่คล้ายคลึงกับตัวเรา และเป็นที่ที่เราอยู่แล้วรู้สึกสบายใจ
เมื่อถึงช่วงหนึ่งของวัยหนุ่มสาว เราต้องอำลาภูมิลำเนาที่เราเกิดและเติบโตมา แล้วไปกลายเป็นผู้ใหญ่ที่แห่งหนอื่น
สิ่งที่ผมต้องปกป้องในตัวผมเองคือความสามารถในการอยู่ตามลำพัง ต้องใช้เวลาเหมือนกันกว่าผมจะชินกับความโดดเดี่ยว และทำให้มันกลายเป็นที่ที่ผมอยู่ได้ และอยู่แล้วสบายใจ
ลักษณะที่สถานที่เก็บรักษาเรื่องราวของเรา ลักษณะที่เราอ่านมันออกทุกครั้งเมื่อกลับไป ในชีวิตของคนเรามีภูเขาแบบนี้อยู่เพียงแห่งเดียว และเมื่อเทียบกันแล้ว แห่งอื่นทั้งหลายก็เป็นได้แค่ระดับรอง ต่อให้เป็นเทือกเขาหิมาลัยก็ตาม
คนเราต้องทำสิ่งที่ชีวิตสอนให้ทำ ตอนอายุน้อยๆ อาจยังเลือกที่จะเปลี่ยนเส้นทางเดินได้ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งควรหยุดและบอกตัวเองว่า เอาล่ะ สิ่งนี้เราทำได้ สิ่งนี้ทำไม่ได้ ฉันนึกสงสัยขึ้นมาว่า แล้วฉันล่ะ ฉันอยู่บนภูเขาได้ อยู่บนนี้คนเดียว เอาตัวรอดได้ มันก็ไม่น้อยแล้วนะ นายว่าไหม แต่จะเห็นได้ว่าฉันต้องอายุ 40 ก่อนถึงรู้ว่ามันก็มีคุณค่าอยู่เหมือนกัน
สารภาพว่าผมอ่านซ้ำ 2 รอบ ไม่ใช่ว่าประทับใจสุด ๆ แต่เพราะไม่ค่อยได้อ่านหนังสือแนวนี้ที่ต้องอาศัยสมาธิในการอ่าน (อ่านเร็ว ๆ แบบหนังสือฮาวทูไม่ได้ ต้องอ่านทุกบรรทัดและระหว่างบรรทัด) ต้องใช้จินตนาการสูงเพื่อจะนึกภาพตามที่ผู้เขียนบรรยาย เนื่องจากผมไม่เคยมีประสบการณ์แบบในเรื่องนี้เลย (ไม่เคยไปอิตาลี ไม่เคยปีนเขา ไม่รู้เรื่องงานก่อสร้าง ทำฟาร์ม) แต่ทั้งหมดกลับเป็นเรื่องดี มันทำให้ผมหลุดเข้าไปในหนังสือ อินไปกับเรื่องราว หนังสือที่เล่าช่วงชีวิตของคนคนหนึ่งตั้งแต่เด็กจนโตแบบนี้ผมชอบอ่านมาก อยากชวนให้อ่านครับ
"แปดขุนเขา" เขียนโดย Paolo Cognetti สำนักพิมพ์อ่านอิตาลี ราคาปก 250 บาท
11.The Most Human Human "ปัญญา-มนุษย์-ประดิษฐ์"
เป็นหนังสือที่แปลก (แต่ดี) ดูเผินๆ เหมือนอ่านแล้วจะได้ความรู้เกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (A.I.) แต่พออ่านจบ กลับได้เรียนรู้ความเป็นมนุษย์มากกว่า หนังสือดูเหมือนมาแนววิทยาศาสตร์เทคโนโลยี แต่เนื้อหาและวิธีการสื่อสาร กลับเป็นวิชาปรัชญาว่าด้วยความหมายและการมีอยู่ของมนุษย์
เรื่องเริ่มจากปี 2009 ผู้เขียน (Brian Christian) เข้าร่วมแข่งขัน Turing Test งานที่จัดขึ้นมาหลายสิบปีแล้วเพื่อตอบคำถามว่า "คอมพิวเตอร์คิดเป็นหรือเปล่า?" (โดยจำกัดอยู่แค่เรื่องการสนทนาโต้ตอบผ่านตัวหนังสือ คล้าย ๆ กับ Siri หรือ Google Assistant สมัยนี้) วิธีทดสอบคือ คณะกรรมการต้องตัดสินให้ถูกต้องว่าที่พวกเขากำลังพิมพ์คุยอยู่ด้วยนั้น อีกฝั่งคือมนุษย์หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์กันแน่?
พูดง่าย ๆ ว่าโปรแกรมที่เข้าแข่งขันนั้นถูกเขียนให้โต้ตอบได้เหมือนคนที่สุด ในขณะที่คนจริง ๆ นั้นก็ต้องพยายามตอบให้กรรมการเชื่อว่าเขาคือมนุษย์ตัวจริงนะ โดยโปรแกรมที่ได้คะแนนสูงสุด จะได้รางวัลที่ชื่อ "คอมพิวเตอร์ที่เป็นมนุษย์ที่สุด" (และมักถูกพัฒนาต่อไปเพื่อใช้ในเชิงพาณิชย์) ส่วนมนุษย์ที่ได้คะแนนสูงสุด จะได้รางวัลที่ชื่อ "มนุษย์ที่เป็นมนุษย์ที่สุด" (ซึ่งกลายมาเป็นชื่อหนังสือเล่มนี้ และผู้เขียนนั้นชนะ ได้รางวัลนี้ครับ)
คำถามคือ "แล้วมนุษย์ที่เป็นมนุษย์ที่สุดนั้นเป็นอย่างไรล่ะ?" นั่นคือเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้นั่นเอง ซึ่งเอาจริง ๆ ถือเป็นคำถามใหญ่และทะเยอทะยานพอสมควรที่จะตอบคำถามนี้ แถมยังต้องเขียนให้อยู่ในประเด็นที่สอดคล้องกับการแข่งขัน Turing Test ที่ว่าด้วยการ "พิมพ์สนทนา" เท่านั้น หนังสือเล่มนี้จึงวิเคราะห์ไปในเชิงการใช้ภาษาของมนุษย์เสียมากกว่าว่า "คนจริง ๆ นั้น เราคุยกันอย่างไร" เช่น คุยสะเปะสะปะเปลี่ยนเรื่อง พูดแทรกขึ้นมาก็มี ใช้ภาษาเปรียบเปรยที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย หรือบริบทรอบข้างที่ทำให้ความหมายเปลี่ยน เรื่องพวกนี้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ยากที่จะเลียนแบบคนได้
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ผมชอบที่สุดกลับเป็นสิ่งที่ผู้เขียนเขียนเอาไว้ว่า ถ้าหุ่นยนต์จะแทนที่มนุษย์ได้ สาเหตุนั่นก็ไม่คงมีอะไรมากไปกว่า "เพราะพวกเราเหล่ามนุษย์ ชอบทำตัวเป็นหุ่นยนต์" ในความหมายว่าชอบทำอะไรซ้ำซาก ทำตามสูตร พูดตามบท ใช้แต่เหตุผลจนไม่ให้ค่าความรู้สึก ยิ่งมนุษย์ทำตัวแบบนี้มากเท่าไหร่ ก็ง่ายที่จะเขียนโปรแกรมแล้วทำแทนมนุษย์ ประเด็นนี้ทำให้ผมกลับมามองตัวเองว่า "เออว่ะ แล้วเรามีความเป็นมนุษย์แค่ไหน หรือวัน ๆ ทำตัวเหมือนหุ่นยนต์ไปเรื่อย ๆ?"
โดยสรุป ใครอยากอ่านเรื่องเทคโนโลยี ใครอยากอ่านว่าบทพูดที่ทำให้ผู้เขียนชนะการแข่งขันครั้งนี้เป็นอย่างไร คงต้องผิดหวังครับ แต่ถ้าอยากอ่านหนังสือปรัชญาที่มีความเป็นวิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยี รวมถึงวิธีสนทนาสื่อสารกันอย่างมีความเป็นมนุษย์ เล่มนี้ตอบโจทย์ครับ เพราะผู้เขียนเขาเป็นกวีที่เรียนจบ computer science ถือเป็นส่วนผสมที่หาได้ยาก (แต่นั่นก็ทำให้เล่มนี้อ่านยากหน่อย เพราะภาษาแพรวพราวทั้งความปรัชญาและวิทยาศาสตร์)
The Most Human Human "ปัญญา-มนุษย์-ประดิษฐ์" เขียนโดย Brian Christian สำนักพิมพ์ Salt ราคาปก 415 บาท
12.The Simple Path to Wealth หนทางเรียบง่ายสู่ความมั่งคั่ง
หนังสือที่เหมาะกับมือใหม่ ไม่ค่อยมีความรู้ในการลงทุน (หุ้น/กองทุน) ส่วนมือเก่าหรือคนที่มีความรู้อยู่แล้ว เล่มนี้เนื้อหาอาจบางไปหน่อย อันที่จริงผมค่อนข้างแปลกใจที่เห็นหนังสือเล่มนี้ถูกแปลเป็นภาษาไทย เนื่องจากข้อมูลบางส่วนใช้ได้กับที่อเมริกา อย่างไรก็ตามเล่มนี้ดีครับ คนรีวิวเยอะ ได้ 5 ดาวจากเว็บ amazon มีประโยชน์โดยเฉพาะกับคนที่อยากให้เงินงอกเงย แต่ไม่ค่อยอยากหัวใจเต้นแรงกับการขึ้นลงของตลาดหุ้น
The Simple Path to Wealth หรือ หนทางเรียบง่ายสู่ความมั่งคั่ง เขียนโดย JL Collins ต้นฉบับภาษาอังกฤษตีพิมพ์ปี 2016 ปัจจุบันผู้เขียนอายุ 70 แล้ว เขาเริ่มลงทุนตั้งแต่ปี 1975 โดยใช้วิธีที่เรียบง่าย ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น นั่นคือ ลงทุนต่อเนื่องในกองทุนรวมดัชนี VTSAX (กองทุนของ "แวนการ์ด" บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนซึ่งมีสินทรัพย์ในการลงทุนใหญ่เป็นอันดับต้นของโลก กองทุนนี้ซื้อหุ้นทุกตัวในตลาดหลักทรัพย์อเมริกา และคิดค่าธรรมเนียมต่ำมาก) นอกนั้นก็มีซื้อหุ้นกู้นิดหน่อย และเงินสดบางส่วน
ผลจากการลงทุนต่อเนื่องสม่ำเสมอด้วยวิธีเรียบง่ายนี้ ทำให้ผู้เขียนมีผลตอบแทนในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา เฉลี่ยปีละ 12% โดยประมาณ (ไม่ได้เท่ากันทุกปี มากบ้างน้อยบ้าง ต้องเฉลี่ยระยะยาว) ซึ่งแน่นอนว่าอาจไม่ได้ทำให้เขาเป็นมหาเศรษฐี แต่มันทำให้เขามีอิสรภาพทางการเงิน เพราะตัวชี้วัดของเขาคือ หากใครก็ตามใช้ชีวิตปกติสุขได้ด้วยผลตอบแทน 4% ต่อปีจากการลงทุน นั่นแปลว่าใครคนนั้นไม่จำเป็นต้องทำงานเพื่อเงินแล้ว (เพราะผลตอบแทน 4% ต่อปี ทำได้ไม่ยาก) แถมยังมีเงินเหลือนำไปลงทุนทบซ้ำอีกรอบได้ด้วย
สมมติฐานของผู้เขียน (ซึ่งมีส่วนจริงอยู่มาก และวอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็เห็นด้วย) ก็คือ ไม่มีใครรู้ว่าหุ้นตัวไหนจะขึ้นหรือลงเมื่อไหร่ ตลาดจะวิ่งแรง หรือร่วงรุ่งริ่ง แม้แต่ผู้จัดการกองทุนก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ ในระยะยาวตลาดหุ้นนั้นอยู่ในทิศทางขาขึ้น โดยในระหว่างทางอาจมีร่วงหล่นให้ตกใจบ้าง (อย่างเช่นโควิดปี 2020) แต่ถ้าในระยะเวลาที่นานพอ ราคาหุ้นจะขึ้นเสมอ ดังนั้นการซื้อหุ้นทุกตัวในตลาดผ่านกองทุนรวมดัชนีจึงให้ผลตอบแทนที่ดีพออยู่แล้ว
แนวคิดดังกล่าว ผมเชื่อว่าสำหรับนักลงทุนอาชีพ คงเคยได้ยินมานาน และคงมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย (หรือเห็นด้วย แต่ไม่ทำ เพราะเล่นหุ้นรายตัวมันลุ้นกว่า)
สำหรับผม ประโยคที่บอกว่า "ในระยะยาว ไม่มีใครเอาชนะตลาดได้" ประโยคนี้คือเรื่องจริง แต่การจะถือสินทรัพย์ผ่านระยะเวลาที่นานขนาดนั้น ใจต้องได้ ความรู้ต้องมี เงินต้องเย็น ถือเป็นเรื่องง่ายที่ไม่ง่ายครับ
อย่างไรก็ตาม สำหรับมือใหม่ หรือคนที่เริ่มต้นสนใจลงทุนหุ้น ผมคิดว่าหนังสือเล่มนี้จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นมากขึ้น เพราะผู้เขียนเล่าให้เราเห็นภาพว่าทำไมตลาดหุ้นจึงเป็นเครื่องมือในการสร้างความมั่งคั่งที่ดี ทำไมกองทุนรวมดัชนีจึงเป็นทางเลือกที่ดีมาก ทำไมจึงต้องทำใจไว้เลยว่าในระยะยาวจะต้องเจอช่วงที่ตลาดหุ้นลงหนัก แล้วทำไมสุดท้ายตลาดหุ้นจะต้องพุ่งขึ้นสูงกว่าเดิม พร้อมกันนี้ เขายังแนะนำการออกแบบพอร์ตการลงทุนทั้งสำหรับคนในวัยหนุ่มสาวหรือคนในวัยคราวใกล้เกษียณไว้ด้วย
...ทั้งหมดนี้ผู้เขียนไม่ได้ใช้ศัพท์แสงยาก ๆ แต่เล่าแนวคิดให้เราเข้าใจง่าย ๆ (ใครชอบหนังสือไตล์ millionaire fastlane หรือ The 4-hour work week น่าจะชอบเล่มนี้) ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับผู้สนใจการลงทุน ยิ่งในยุคนี้ที่เงินล้นระบบ มือใหม่ตบเท้าเข้าตลาดหุ้นมากเป็นประวัติการณ์ ยิ่งต้องหาความรู้ให้ดี พออ่านเล่มนี้จบแล้วค่อยไปศึกษาเรื่องกองทุน เรื่อง ETF ก็จะดีมาก กองทุนเดี๋ยวนี้ก็มีให้เลือกเยอะ จะลงในกองทุนต่างประเทศก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย ลองดูครับ
The Simple Path to Wealth หรือ หนทางเรียบง่ายสู่ความมั่งคั่ง เขียนโดย JL Collins สำนักพิมพ์แอร์โรว์ ราคาปก 320 บาท
13.The Lazy Genius Way ชีวิตไม่เห็นต้องยาก
ผมอาจไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของหนังสือเล่มนี้ เนื่องจากเขียนโดยผู้หญิงเพื่อผู้หญิงอย่างแท้จริง (ไม่ได้คิดไปเอง เพราะผู้เขียนบอกไว้ในเล่มว่าถ้าคุณเป็นผู้ชายที่อ่านเล่มนี้ ฉันรู้สึกขอบคุณ แม้ว่าฉันจะเขียนเมาท์มอยประสาผู้หญิงสุด ๆ) อย่างไรก็ตาม ไม่ได้บอกว่าหนังสือไม่ดีนะครับ ดีเลยล่ะ ไม่งั้นคงไม่มีคนให้ 5 ดาวในเว็บ amazon เป็นพัน
เนื้อหาในเล่มนั้นเริ่มต้นจากประเด็นที่ว่าผู้หญิงยุคใหม่นั้นเต็มไปด้วยความกดดัน ต้องทำให้ดีทุกทาง ทั้งการงานและการดูแลครอบครัว บางครั้งพยายามมากไป บางครั้งรู้สึกเหมือนพยายามไม่พอสักที จนเหนื่อยล้าทั้งกายใจ ผู้เขียนเธอจึงบอกว่าเราต้องมีตัวกรองที่ช่วยให้ชีวิตได้มุ่งเน้นเรื่องสำคัญสำหรับเรา ไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นบอกว่าสำคัญ โดยเธอได้ให้หลักการ 13 ข้อเอาไว้ให้เหล่าสาว ๆ ทำตามเพื่อจะได้เข้าสู่ "วิถีอัจฉริยะจอมขี้เกียจ" เช่น ตัดสินใจครั้งเดียวให้จบ สร้างกิจวัตรที่ใช่ เก็บทุกอย่างไว้ในที่ของมัน กำหนดเวลาพัก
ถ้าอ่านแต่หัวข้อก็อาจฟังดูธรรมดา พบเห็นได้ทั่วไปตามฮาวทูยุคใหม่ แต่ความแตกต่างของเล่มนี้ที่ผมสังเกตเห็นก็คือ ผู้เขียนลงรายละเอียดมากในเรื่องที่จับต้องได้ เป็นเรื่องราวในชีวิตประจำวันของหญิงยุคใหม่ที่มีครอบครัว มีลูกต้องดูแล เช่น เรื่องการเลือกเสื้อผ้าที่จะคงเหลือไว้ในตู้ การจัดการเมนูอาหารที่ต้องทำ เรื่องการออกกฏต่าง ๆ ที่คนในบ้านทำตามร่วมกัน (เช่น เวลาหลังเลิกเรียนของลูกต้องทำอะไร เคาน์เตอร์ครัวต้องเป็นระเบียบอย่างไร กุญแจต่าง ๆ แขวนไว้ที่ไหน)
เรียกว่าไม่ได้ให้หลักการกว้าง ๆ แต่ผู้เขียนลงลึกจากประสบการณ์ตรงของเธอ (เธอมีลูก 3 คน) เขียนเหมือนเพื่อนคุยกับเพื่อน เขียนเรื่องลึก ๆ ที่ผู้หญิงรู้สึก มีปัญหา และอยากแก้ไข ผมเชื่อว่าผู้อ่านที่เป็นผู้หญิงต้องถูกใจสิ่งนี้แน่ ๆ ครับ
The Lazy Genius Way ชีวิตไม่เห็นต้องยาก สำนักพิมพ์อมรินทร์ เขียนโดย เคนดรา อาดาจิ ราคาปก 245 บาท
14.โปรดโอบกอดมนุษย์ลูก
หนังสือเหมาะสำหรับคนที่มีลูก คนที่คิดจะมีลูก หรือแม้แต่คนที่ไม่มีลูก แต่อยากย้อนเวลากลับไปว่าเรานั้นผ่านอะไรมาบ้างจึงมาเป็นเราในวันนี้ เขียนโดยนักเขียนรางวัลซีไรต์ 2 สมัย "วีรพร นิติประภา" หากใครเคยอ่านงานของนักเขียนท่านนี้ ย่อมรู้ดีว่านี่ต้องไม่ใช่หนังสือหวานแหววในแนวรักลูก แม่และเด็ก อะไรทำนองนั้น ทัศนะแม่ในแบบวีรพร...ต้องไม่ธรรมดา
ที่มาของหนังสือเล่มนี้น่าสนใจมากครับ ผู้เขียนเล่าว่าเธอจัดเวิร์คช็อปสอนเขียนมาเนิ่นนาน ช่วงหนึ่งของการสอน ผู้เรียนจะต้องผลัดกันเล่าถึงเรื่องที่ทำให้ตัวเองไม่มีความสุข ทุกข์ โกรธ เศร้า ปรากฏว่าเกือบทั้งหมดต่างเล่าถึงเรื่องความเจ็บปวดที่เกิดจาก "การกระทำของพ่อแม่" นั่นคือการเลี้ยงดูในวัยเด็กที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง ความกดดันจากพ่อแม่ จนคนเป็นลูกรู้สึกเครียด รู้สึกผิด ผิดที่ทำไม่ได้ตามความคาดหวัง และรู้สึกผิดเมื่อคิดได้ว่าตนเองกำลังรู้สึกไม่อยากรักพ่อแม่แล้ว ...เรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้จบไว้เพียงในวัยเด็ก แต่ยังตามติดมาจนแม้เด็กคนนั้นจะกลายเป็นผู้ใหญ่ ความรู้สึกหนักอึ้งนั้นก็ยังคงไม่หายไป
ผู้เขียนบอกว่าสาเหตุที่ความสัมพันธ์อันงดงามกลายเป็นความเจ็บปวด ความหวังดีกลับกลายเป็นทำร้ายกัน อยู่คนละฟากจักรวาลทั้งที่นั่งอยู่ข้างกัน สาเหตุนั้นก็เพราะเด็กไม่ได้ถูกพ่อแม่เลี้ยงดูในฐานะ "มนุษย์คนหนึ่ง" ที่มีชีวิตจิตใจเป็นของตนเอง แต่ถูกเลี้ยงดูในฐานะ "ลูก" ที่มีหน้าที่และบทบาทกำหนดไว้แล้ว ไม่อาจมีความคิดของตัวเอง แค่ทำตามที่พ่อแม่บอกก็พอ
นั่นจึงเป็นที่มาของหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนบอกว่าเธออยากให้คนเป็นพ่อแม่ได้เห็นรายละเอียดระหว่างเส้นทางการเลี้ยงลูก มีจุดไหนบ้างที่เราอาจเผลอทำร้ายลูกโดยไม่ตั้งใจ ไม่ทันคิด จุดไหนเปราะบางสำหรับเด็กซึ่งคนเป็นพ่อแม่ต้องระวัง ในเล่มเธอจึงเขียนถึงทัศนะการเลี้ยงลูกในแบบของเธอ ว่ากันตั้งแต่วัยเด็กเล็กไปจนถึงวัยที่ลูกโตพอที่จะไปมีชีวิตของตัวเอง
ตัวอย่างบางประโยคที่ผมชอบ (ตัดต่อเพื่อความกระชับ)
ใช้เวลาอยู่กับลูกให้มาก ๆ ถ้าทำได้...อย่าเพิ่งห่วงงาน หรือความเป็นส่วนตัว ในไม่ช้าโลกทั้งบานจะพรากเขาไป และจะมีวันที่ลูกไม่มีที่ทางในชีวิตและเวลามากนักให้คุณได้ร่วมแบ่งปัน
อย่ามองปัญหาของลูกเป็นเรื่องเล็กน้อย เพียงเพราะคุณมีเรื่องใหญ่กว่า สำคัญกว่า มีมูลค่ามากกว่าต้องทำ โปรดตระหนักว่าปัญหาเล็ก ๆ ของเด็ก ๆ ร้ายแรงได้เท่ากับปัญหาใหญ่ ๆ ที่เกิดกับคนโต ๆ
ถ้าคุณฝึกสอนลูกให้เป็นคนว่านอนสอนง่าย เขาจะต้องการการชี้นำตลอดเวลา เขาจะไม่คิด และในที่สุด...คิดเองไม่ได้ ลูกจะไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรแน่ และอาจเฉยชาไม่ต้องการอะไรเลยสักอย่าง นอกจากรอคอยโชคชะตา
หน้าที่เดียวของพ่อแม่คือช่วยลูกค้นหาศักยภาพ ไม่ใช่การคิดวางแผนว่าลูกจะต้องทำอะไร คิดอะไร คนคนหนึ่งมีศักยภาพได้หลายด้าน อย่าหยุดค้นหาความเป็นไปได้ของลูก คนไม่จำเป็นต้องเรียนเก่งมีความสามารถด้านวิชาการ โลกเต็มไปด้วยความเป็นไปได้มากมาย การปล่อยให้ลูกค้นหาความสามารถรอบด้าน และความชอบจะช่วยให้เขามีชีวิตที่น่าตื่นใจ
คุณเป็นคนสอนให้เขาพูด...คุณต้องฟังเขา ถ้าคุณไม่ยอมฟัง ก็อย่าสอนเขาพูดตั้งแต่ต้น คุณเป็นคนสอนให้เขาเดิน คุณต้องปล่อยให้เขาเดินไปตามทางที่เขาต้องการ
อย่าให้ลูกรู้สึกว่าพ่อแม่คาดหวัง โปรดเข้าใจว่าทุกคนทำดีที่สุดเสมอ คนที่แบกรับความคาดหวังของพ่อแม่จะคาดหวังตัวเองสูงตามไปด้วย เขาจะไม่ผ่อนคลาย เคร่งเครียดกับคนอื่นและตัวเอง และเป็นคนไม่มีความสุข
คำพูดของพ่อแม่สร้างสรรค์และกรีดบาดได้มากกว่าคำพูดของใครในโลก คำพูดผ่านปากออกไปแล้วเอาคืนกลับมาไม่ได้ มันจะติดอยู่ในใจของลูกไปตลอด อย่าคิดว่าคนเป็นพ่อแม่พูดอะไรก็ได้ โปรดเข้าใจว่าหลายสิ่งหลายอย่างยิ่งคนเป็นพ่อเป็นแม่ยิ่งพูดไม่ได้ คำพูดของคุณอาจทำให้ลูกกลายเป็นคนสำคัญแห่งยุคสมัย ได้มากพอ ๆ กับทำลายล้างเขาไม่เลิกราไปจนวันสุดท้าย
-สมมติว่าคุณรู้ว่าจะต้องเสียลูกของคุณไปในตอนเขาอายุสิบห้า ถ้าคุณรู้ว่าลูกมีเวลาน้อยแสนน้อย คุณจะปล่อยให้เขาได้สนุกสนาน ทำอะไรไร้สาระบ้า ๆ บอ ๆ ใช้ชีวิตโดยไม่ต้องรองรับความกดดันไม่ว่าจะของคุณ ของสังคม หรือคุณธรรมความเชื่ออะไรเลยทั้งนั้นไหม คุณจะเลิกบ่น เลิกว่า เลิกทำเขาเสียนำ้ตาหรือเปล่า คุณจะตระหนักไหมว่าในการเป็นพ่อแม่ ...จริงแท้แล้วคุณไม่ได้ต้องการอะไรเลย นอกจากเห็นลูกมีความสุข
ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วยความรู้สึกฟินและอินเป็นพิเศษ "ฟิน" เพราะผมเป็นแฟนหนังสือของคุณแหม่ม วีรพร ชอบทุกเล่ม และทึ่งที่เธอเขียนหนังสือ 4 เล่ม 4 แนว คือ เรื่องสั้น นิยาย วรรณกรรมเด็ก และเล่มนี้ความเรียง ที่อ่านแล้วเหมือนได้โบนัสคือ ได้อ่านหนังสือคู่มือเลี้ยงลูกที่ภาษาสวยงาม ไม่แห้งแล้งเหมือนหนังสือในแนว ๆ นี้ ...ส่วน "อิน" นั้นเพราะผมเองก็มีปมพ่อแม่ (...ว่าแต่ใครบ้างไม่มี?) พอวันนี้เป็นพ่อคน มีลูกสาว 2 คนก็ตั้งใจว่าจะเลี้ยงพวกเธอให้ดีที่สุด ทั้งที่รู้ว่ามันไม่ง่าย วัยเด็กนั้นเปราะบางจนพ่อแม่อาจสร้างบาดแผลให้ลูกโดยไม่รู้ตัว
บางประโยค บางทัศนะ บางคนอ่านแล้วอาจไม่เห็นด้วย ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะคำตอบที่ถูกต้องของการเลี้ยงลูกนั้นไม่มี แต่ทัศนะของคุณวีรพรนับว่าน่าฟัง เตือนใจคนเป็นพ่อแม่ได้ดีมากครับ อยากให้อ่านหนังสือเล่มนี้จริง ๆ เนื้อหาดี ภาพประกอบสวยมาก
"โปรดโอบกอดมนุษย์ลูก" สำนักพิมพ์ SandClock Books ราคาปก 240 บาท
15.การ์ตูนไทย : ศิลปะและประวัติศาสตร์
หนังสือที่เหมาะสำหรับคนชอบอ่านและสะสมหนังสือสวย ๆ ชอบงานพิมพ์คุณภาพสูง กระดาษดี เล่มใหญ่พิเศษ เย็บกี่ สันโค้ง และแน่นอนสำหรับคนที่ชอบอ่านการ์ตูนไทย โตมากับการ์ตูนไทย เล่มนี้สำหรับคุณ
เขียน/เรียบเรียง/รวบรวมโดย นิโคลาส เวร์สแตปเปิน ชาวเบลเยี่ยมผู้หลงใหลในศิลปะการ์ตูนมาตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันเขาเป็นอาจารย์และนักวิชาการต้านศิลปะการ์ตูน หลักสูตรนานาชาติของคณะนิเทศ จุฬาฯ และหนังสือเล่มนี้คืองานวิจัยของเขาที่ใช้เวลาทำหลายปี เพราะฉะนั้นจึงอาจพูดได้ว่านี่น่าจะเป็นหนังสือภาษาไทยเล่มแรกที่เขียนเกี่ยวกับการ์ตูนไทยได้ละเอียด เป็นระบบระเบียบ ภาพประกอบสวยมาก บนคุณภาพการทำหนังสือระดับโลก (ใครเคยเห็นหนังสือของสำนักพิมพ์ River Books คงเข้าใจดีครับ)
เนื้อหาในเล่ม เล่าเรียงไทม์ไลน์ตั้งแต่ช่วงยุคเริ่มต้น (พ.ศ.2443-2473) มาจนถึงยุคปัจจุบัน (พ.ศ.2543-2563) โดยระหว่างนั้นก็เล่าถึงประวัติและผลงานของศิลปินผู้สร้างสรรค์การ์ตูนไทย ตั้งแต่รุ่นตำนานอย่าง เหม เวชกร, ประยูร จรรยาวงษ์, จุ๋มจิ๋ม & วัฒนา, จุก เบี้ยวสกุล, ราช เลอสรวง, ปยุต เงากระจ่าง มาจนถึงรุ่นใหม่อย่าง วิศุทธิ์ พรนิมิตร, ทรงศีล ทิวสมบุญ, เดอะดวง สะอาด, ภัค, มุนิน, อาร์ต จีโน และอีกมาก
ทั้งหมดนี้มาพร้อมกับภาพประกอบอันล้ำค่า สี่สี ชัดเจน ใหญ่เต็มตา รวบรวมจากหอจดหมายเหตุและคอลเล็คชั่นส่วนตัว รวมถึงงานต้นฉบับที่ไม่เคยตีพิมพ์ที่ไหนมาก่อน เอาแค่การ์ตูนหน้าเปิดของแต่ละยุคสมัยที่วาดร้อยเรียงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยผ่านกาลเวลา เท่านี้ก็คุ้มค่าแล้วครับ จะเอาไว้อ่านเองหรือเก็บไว้ให้ลูกหลานก็ได้ ของแบบนี้โลกดิจิทัลไม่อาจทดแทนได้ ต้องอ่านและจับต้องเป็นหนังสือแบบนี้เท่านั้น
"การ์ตูนไทย : ศิลปะและประวัติศาสตร์" 288 หน้า 370 ภาพประกอบ ราคาปก 1,495 บาท
Comments