มีหนังสือมาแนะนำครับ ยังไม่มีแปลไทย แต่อ่านง่ายมาก
The Simple Path to Wealth โดย JL Collins
ผมอ่านเพราะเห็นว่าได้รีวิว 5 ดาวจาก amazon
(และตอนนั้นบังเอิญซื้อได้ฟรี โปรโมชั่น kindle)
หาอ่านได้จาก amazon kindle ครับ
หรือเล่มกระดาษต้องสั่งจากเมืองนอก
ยอมรับว่าผมอ่านแบบไม่ได้คาดหวัง
แอบคิดว่าคงขายฝันด้วยซ้ำ รวย ๆ ง่าย ๆ แบบนี้
แต่ปรากฏว่าเป็นหนังสือการลงทุนที่ผมชอบมาก
เซียนหุ้น กูรูลงทุนอาจไม่ชอบ เพราะมันง่ายเกิน
พูดง่าย ๆ ว่าไม่มีอะไรเลย แค่นี้เนี่ยนะ?
คอนเส็ปต์ของหนังสือเล่มนี้คือ "สิ่งที่ได้ผลจริงต้องเรียบง่าย"
อันนี้ก็ต้องถือว่าเขาทำได้ตรงโจทย์ครับ
และผมซื้อไอเดียของเขาเลย
ผู้เขียนบอกว่าน่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่
มองข้ามความรู้ด้านการเงิน/การลงทุน
เพราะมัวแต่ทำงานหรือดูแลครอบครัว
จุดนี้เองที่ทำให้คนกลุ่มนึงเห็นโอกาสนี้
เลยตั้งใจสร้างให้ การเงิน/การลงทุน เข้าใจยาก
เพราะยิ่งเข้าใจยากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดี
ผู้คนจะได้พึ่งพาคำแนะนำจากพวกเขา
และพวกเขาก็จะทำเงินได้จากการให้คำปรึกษา
ทั้งที่ความจริง การลงทุนเป็นเรื่องเรียบง่ายมาก
และการลงทุนที่เขาแนะนำก็คือ "หุ้น"
เพราะในระยะยาวให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด
(และมันไม่ยุ่งยากกับคนลงทุน)
เล่าแบบคร่าว ๆ เขาบอกว่าที่คนส่วนใหญ่
ไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุนหุ้นก็เพราะ
1. คิดว่าตัวเองคาดเดาได้ว่าเวลาไหนหุ้นจะขึ้น/ลง
สุดท้ายก็เดาผิดทุกที ขายหมู ตกรถ ติดดอย
2.
คิดว่าฉันจะต้องเลือกหุ้นรายตัวได้ถูกต้องเสมอ
สุดท้ายหุ้นเด็ด กลายเป็นหุ้นเด็ดวิญญาณ
3.
สนใจราคาบนกระดานหุ้น มากกว่ามูลค่าของบริษัท
สุดท้ายมักติดหุ้นทำราคา แต่ไม่มีมูลค่าจริง
4.
อันนี้แสบ...คิดว่าผู้จัดการกองทุนจะเลือกหุ้นได้ดี
แต่จากสถิติ (อเมริกา และของไทยก็ไม่น่าต่างกัน)
ไม่มีกองทุนไหนที่ให้ผลตอบแทนชนะตลาดโดยรวม
แปลง่าย ๆ ว่า ถ้าซื้อหุ้นทุกตัวแล้วไม่ขายเลย
ถือไว้เฉย ๆ ปล่อย ๆ เรื่อย ๆ เป็นหลายสิบปี
จะให้ผลตอบแทนดีกว่ากองทุนที่สลับซื้อขายหุ้นไปมา
(แบบที่เขาเรียกว่า Active Fund)
คำถามคือ แล้วใครจะซื้อหุ้นได้ทุกตัวในตลาด? มันจะใช้เงินใช้เวลาเยอะไปมั้ย?
คำตอบก็คือ
มีกองทุนที่เลียนแบบการซื้อหุ้นทุกตัว
(ของไทยเท่าที่ผมรู้ ไม่มีแบบที่ซื้อหุ้นทุกตัว
มีแค่เลียนแบบ 50 หรือ 100 ตัวที่ใหญ่ที่สุด
แต่นั่นก็มากพอแล้วครับ)
กองทุนแบบนี้เขาเรียกว่า Index Fund
หลายธนาคารมีขายครับ
อ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับ http://bit.ly/2ZskZ2p
หรือจะเป็น ETF (กองทุนเปิดที่ซื้อขายเหมือนหุ้น)
แบบนี้ก็สะดวก รวดเร็วทันใจดี
อ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับ http://bit.ly/2KWaSzA
เพราะฉะนั้นคำแนะนำที่เรียบง่ายของผู้เขียนก็คือ
ให้ซื้อพวก Total Stock Market Index Fund
หรือกองทุนที่เลียนแบบการซื้อหุ้นทั้งตลาด
ซื้อแล้วถือไว้ยาว ๆ มูลค่าจะเพิ่มขึ้นเอง
เพราะในภาพใหญ่ตลาดหุ้นขึ้นเสมอ (ย้ำว่าภาพใหญ่)
เนื่องจากทุกธุรกิจในตลาดหุ้นต้องเติบโตทุกปี
แต่ระหว่างทางใจต้องนิ่ง เพราะหุ้นจะขึ้นลง
...ซึ่งอันนี้แหละที่คนส่วนใหญ่ ทนไม่ได้
สุดท้ายผู้เขียนบอกว่าวิธีนี้ไม่หวือหวา ใช้เวลา
ต้องใช้ระเบียบวินัยในการเก็บเงินมาลงทุน
แต่มัน "เรียบง่าย" จนใคร ๆ ก็ทำได้
ยิ่งถ้าใช้ชีวิต "เรียบง่าย" ไม่หรูหราตามแฟชั่น เราจะมีอิสรภาพทางการเงิน ได้ไม่ยากจากการลงทุน
(ซึ่งคนละเรื่องกับรวยหรูใช้ชีวิตอู้ฟู่นะครับ)
ประโยคต่อไปนี้ผมชอบมากครับ
เนื่องจากมันเป็นเป้าหมายที่ชัดเจนมาก
เขาบอกไว้แบบนี้ว่า...
ถ้าในแต่ละปี
เราอยู่ได้ด้วยเงิน 4% ของสินทรัพย์ที่เราลงทุน
นั่นคือเรามีอิสรภาพทางการเงินเรียบร้อยแล้ว
เพราะผลตอบแทนการลงทุนในระยะยาว
แต่ละปีให้มากกว่านั้นค่อนข้างแน่นอน
เพราะฉะนั้นโจทย์ของเราคือ
1.หาค่าใช้จ่ายรายปีของเราว่าเท่าไหร่?
สมมติว่า 6 แสนบาท (เดือนละ 5 หมื่นบาท)
เงินจำนวนนี้พอเพียงให้เราใช้ชีวิตได้ แม้ไม่หรูหราก็ตาม
2.จากนั้นคูณด้วย 25 (คือส่วนกลับของ 4%)
จะได้เงินลงทุนเป้าหมาย ในตัวอย่างนี้คือ 15 ล้านบาท
โอ...พระเจ้า อ่านมาถึงตรงนี้ เราจะหาเงินจากไหน เยอะขนาดนั้น?!!!
คำตอบก็คือ เขาไม่ได้ให้เราใส่เงินไปทีเดียว
แต่ให้เราสะสมไปเรื่อย ๆ ด้วยการซื้อ Index Fund
จากหลักพันเป็นหลักหมื่น หลักแสน หลักล้าน
เงินต้นที่เพิ่มขึ้น บวกกับมูลค่าที่เพิ่มขึ้น
จะช่วยเร่งให้สินทรัพย์สำหรับการลงทุนขยายตัว
เมื่อวันที่เส้นชัย 15 ล้านบาท (สมมติ) มาถึง
นั่นก็คือวันที่สินทรัพย์พร้อมแล้วที่จะเลี้ยงดูเรา
เพราะลำพังผลตอบแทน ไม่ว่าจะเป็นเงินปันผล
หรือราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น
ก็เพียงพอที่เราจะถอนเงิน 4% มาใช้ทุกปี
แต่สินทรัพย์นี้ก็ยังไม่ยุบ แต่เติบโตต่อไป
อย่างไรก็ตาม ทั้งนั้นทั้งนี้
ผมว่าเราค่อย ๆ เก็บไปได้
ทำเต็มที่...แต่ไม่ซีเรียส
สำคัญคือต้องมีเป้าหมาย
ภายในเมื่อไหร่จะต้องถึงเป้าหมายที่กำหนดไว้
ไม่อย่างนั้นอาจจะเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ ไปหน่อย
ระหว่างไปสู่เป้าหมายทางการเงิน
ต้องขยันทำงานประจำ หาช่องทางสร้างธุรกิจ
เพื่อให้มีเงินสดเพิ่มขึ้น
แล้วนำไปลงทุน (ไม่ใช่เอาไปฟุ่มเฟือย)
เราจะถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น
เมื่อถึงเป้าหมายแล้ว
จะเกษียณตัวเอง ไม่ทำงานแล้ว
จะเปลี่ยนไปทำงานที่ชอบ อยากทำมานาน
หรือจะทำงานเดิมอยู่ก็ได้...ไม่มีใครว่า
สุดท้ายท้ายสุด
ผมชอบมากที่ผู้เขียนบอกว่า
ถ้าเราเชี่ยวชาญด้านการเงิน เงินจะเป็นผู้รับใช้ที่ดีสำหรับเรา แต่ถ้าเราไม่มีความรู้ด้านการเงิน เงินก็จะเป็นนายของเรา
เงินซื้อไม่ได้ทุกอย่างครับ
แต่มันทำให้ชีวิตมีทางเลือกมากขึ้น
และทางเลือกก็ทำให้ชีวิตมีอิสระเพิ่ม
และอิสระไม่ใช่เหรอครับ
...ที่เราทุกคนใฝ่หา?
ลองไปหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านกันนะครับ
ไม่ต้องเชื่อที่เขาบอกทั้งหมด
ไม่ต้องฟังในสิ่งที่ผมเขียนนี้ทุกอย่าง
ลองพิจารณาให้เหมาะสมกับตัวคุณเองครับ
留言