เป็นประจำทุกสัปดาห์ ผมจะแนะนำหนัง/ซีรีส์ที่ดูแล้วชอบไว้ในแฟนเพจ boy's thought อย่างไรก็ตาม ด้วยระบบของ facebook ทำให้การสืบค้นโพสต์เก่า ๆ ทำได้ยาก ผมจึงนำมารวบรวมไว้ในเว็บไซต์ เผื่อว่าใครจะลองไปหามาดูบ้าง โดยครั้งนี้จะเป็นหนัง/ซีรีส์ที่ผมดูในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม 2021 ครับ มาเริ่มกันเลย
1.EUROVISION SONG CONTEST: The Story Of Fire Saga (Netflix)
เหนือความคาดหมาย แนะนำสำหรับคนอยากหาความผ่อนคลายและแรงบันดาลใจ แต่ถ้าใครมาแนวหนังต้องมีสาระหนัก ๆ บทเรียนชีวิตยิ่งใหญ่ บอกผ่านเรื่องนี้ไปเลยครับ เพราะนี่คือหนัง Comedy Romantic (ไม่ใช่ Romantic Comedy)
EUROVISION SONG CONTEST: The Story Of Fire Saga เล่าเรื่องราวของสองเพื่อนรัก (และรักเพื่อน) ทั้งคู่เป็นคนชาวไอซ์แลนด์คนบ้านเดียวกัน โตมาด้วยกัน มีฝันเดียวกันคืออยากเป็นตัวแทนประเทศไปประกวดในการรายการ EUROVISION SONG CONTEST (รายการนี้มีอยู่จริง จัดโดยประเทศยุโรป จัดมาตั้งแต่ปี 1956 ไม่เคยหยุด ปี 2020 เป็นปีแรกที่หยุดเพราะโควิด...ซึ่งหนังเรื่องนี้บังเอิญมาก มาฉายปีนี้พอดี)
เล่าแบบสั้น ๆ แบบไม่สปอยล์ นี่คือหนังของ Loser ที่พยายามตามหาชัยชนะให้ได้ แต่เล่าออกมาในแนวทางตลก เสียดสี เรื่องนี้ไม่ถึงกับตลกตกเก้าอี้ แต่ผมก็หัวเราะมากกว่า 10 ที มุขจิกกัดประเทศต่าง ๆ (โดยเฉพาะอเมริกา...แสบมาก) ที่สำคัญเพลงในหนังเพราะมาก ๆๆๆ โดยเฉพาะเพลงสุดท้ายที่ใช้ในการประกวด โอโห ทรงพลัง (รวมถึงเพลงฮิตในผับที่ปิดท้ายเครดิต ติดหูมาก) ...นอกจากนี้ ยังมีโบนัสแถมอีกคือ สถานที่ถ่ายทำสวยมาก ใครดูผ่านทีวีจอใหญ่ภาพชัด ๆ ถือเป็นบุญตา
บอกตรง ๆ ว่าตอนแรกผมไม่กล้าดู เพราะตัดสินหนังจากปก แถมชื่อ Will Ferrell ก็ทำให้คิดไปไกลว่าหนังจะต๊องแค่ไหนหนอ ...แต่ปรากฏว่าดูจบ พบว่าชอบมาก หนังตามสูตรไม่มีอะไรคาดเดายาก แต่ไม่รู้สิครับ มันมีเสน่ห์ในแบบของมัน ชวนให้ดูครับ
บางช่วงบางตอนอาจอืด ๆ หน่อย แต่อยากให้ดูจนจบ แล้วจะอมยิ้ม ฟังเพลงไปจนจบเครดิต
2. Soul
ดูแล้วอิ่มในความรู้สึก หนังเล่าเรื่องชายคนหนึ่ง เขาเป็นครูพิเศษสอนดนตรีในโรงเรียน ที่มีความฝันอยากเป็นนักดนตรีแจ๊สอาชีพเล่นกลางคืน วันหนึ่งโอกาสนั้นก็มาถึง เขากำลังจะได้เล่นกลางคืน แต่ดันมาประสบอุบัติเหตุเสียก่อน วิญญาณหลุดจากร่าง กำลังเดินทางไปสู่โลกหลังความตาย (Great Beyond) แต่เขายังดึงดันไม่อยากไป ความผิดพลาดจึงนำเขาไปสู่โลกก่อนการเกิด (Great Before) โลกที่เต็มไปด้วยวิญญาณที่จะถูกบรรจุนิสัยใจคอก่อนไปเกิดบนโลก ที่นี่เขาได้พบกับวิญญาณที่ชื่อว่า "22" ผู้ซึ่งอยู่ที่นี่มานานมาก เพราะหาเหตุผลในการไปเกิดบนโลกไม่เจอ
ผมเล่าประมาณนี้ครับ คิดว่าไม่ได้สปอยล์อะไร หนังมีหลากฉากให้เราฉุกคิด โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับ "เป้าหมายอันยิ่งใหญ่" และ "เรื่องเล็ก ๆ ระหว่างทาง" ซึ่งทำออกมาได้ดีมาก เพลงก็เพราะมาก ๆ ถ้าใครดูแล้ว หรือคิดว่าคงไม่ได้ดูแน่ ๆ แต่อยากได้สาระของหนังเรื่องนี้ ผมอยากชวนอ่านข้อเขียนที่ "เอ๋ นิ้วกลม" เขียนไว้ครับ
เขาเขียนได้ดีมีคุณภาพระดับเดียวกับตัวหนัง อ่านได้ ที่นี่
3. Death to 2020 (Netflix)
Mockumentary (สารคดีล้อเลียน) เรื่องนี้ "ตลกอย่างร้ายกาจ" ลาทีปี 2020 (Death to 2020) เป็นสารคดีที่ยั่วล้อปีที่หนักหน่วงอย่างปี 2020 ซึ่งเกิดเรื่องราวสำคัญหลายอย่าง ทั้งไฟไหม้ป่าออสเตรเลีย การเคลื่อนไหว Black Lives Matter การเลือกตั้ง ปธน.สหรัฐ และแน่นอน การแพร่ระบาดของโควิด-19 ไปทั่วโลก
ตัวสารคดีประกอบด้วยคลิปเหตุการณ์จริงตัดสลับกับนักแสดงที่มา "สวมบท" เป็นผู้ถูกสัมภาษณ์ในอาชีพต่าง ๆ กัน เช่น ผู้รายงานข่าว นักประวัติศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ นักจิตวิทยา ยูทูบเบอร์ แม่บ้าน คนธรรมดา และควีนอลิซาเบธที่ 2
เหตุการณ์จริงแต่ละอันนั้นไม่ตลกแน่ ๆ ครับ แต่ที่ตลกก็คือบทพูดที่นักแสดงแต่ละคนให้สัมภาษณ์ มันช่างจิกกัดอาชีพนั้น ๆ ได้อย่างแสบสันต์ เช่น นักประวัติศาสตร์ผู้ชอบอ้างอิงผิด แทนที่จะอ้างจากเหตุการณ์ในอดีต ก็ไปอ้างจากหนังที่เคยดู ยูทูบเบอร์ที่พบว่าการทำคลิป reaction ง่าย ๆ กลับมีคนดูเป็นล้าน หรือควีนอลิซาเบธที่ 2 ที่ไม่เคยต้องประสบปัญหาหมดเวลาไปกับการเลือกซีรีส์ใน netflix เพราะให้คนรับใช้เป็นคนเลือกให้
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เป็นตลกเสียดสี บางคนก็อาจไม่ชอบแนวนี้ รวมถึงต้องมีความเข้าใจในเหตุการณ์หรือลักษณะอาชีพนั้น ๆ ด้วย ไม่อย่างนั้นอาจไม่ตลกว่าเขากำลังล้อเลียนเรื่องอะไรอยู่
อารมณ์ประมาณดู standup comedy ของอเมริกา ถ้าชอบประมาณนี้ สารคดีล้อเลียนน่าจะเหมาะกับคุณ
4. If anything happens I Love you (Netflix)
อนิเมชั่นหนังสั้น 12 นาทีที่ทรงพลังมาก "If anything happens I Love you" เล่าเรื่องราวของคู่สามีภรรยาที่สูญเสียลูกสาวไป บรรยากาศในบ้านจึงเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ฟังพล็อตเหมือนหดหู่ แต่ไม่ขนาดนั้นครับ หนังมอบความหวัง และต้องการให้เราปลดปล่อยอดีต ลายเส้นงดงาม เชื่อมโยงแต่ละฉากได้อย่างสร้างสรรค์ ฉากไคลแมกซ์เล่นเอาน้ำตาไหล ฉากคลี่คลายทำเอาน้ำตาคลอ
ดูรอบสองจะเก็บรายละเอียดได้อีก ผมชอบมาก สั้น กระชับ จับใจ
5. Dick Johnson is Dead (Netflix)
เรื่องนี้ไม่ใช่หนัง แต่คือสารคดีที่เล่าเรื่องอย่างมีชั้นเชิงไม่ต่างกับหนังเรื่องหนึ่ง เล่าสั้น ๆ ก็คือ ลูกสาวมีอาชีพเป็นคนทำหนังสารคดี วันหนึ่งเกิดความคิดอยากถ่ายชีวิตของพ่อตัวเองผู้เริ่มมีอาการอัลไซเมอร์ แต่ไม่ใช่แค่ถือกล้องติดตามชีวิตประจำวัน เธอตกลงกับพ่อว่าเราจะ "ซ้อมตาย" กันนะพ่อ ความหมายก็คือ พ่อจะตายแบบไหนได้บ้าง? เช่น ตกบันไดตายในบ้าน เดินอยู่ข้างนอกของหล่นใส่หัว จากนั้นก็เล่นใหญ่ด้วยการจำลองการตายของพ่อ จ้างนักแสดงแทนในฉากหวาดเสียว มีการจัดฉากปลอม มีเลือดปลอม แล้วถ่ายเหตุการณ์จำลองนั้นออกมา
ฟังดูบ้าบอดีมั้ยครับ แต่ Dick Johnson พ่อของเธอเล่นด้วย (เขาเป็นคนสูงวัยที่อารมณ์ดีมาก หัวเราะตลอด) ผลก็คือ เราก็เลยได้ดูสารคดีแปลก ๆ เรื่องนี้ ที่มีทั้งภาพเหตุการณ์จริง เหตุการณ์จำลอง เหตุการณ์เหนือจริง และนำไปสู่เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม ...และน้ำตา ผมเชื่อว่าเมื่อดูจบ เราจะคิดถึงคนที่เรารัก และอยากใช้เวลากับเขาเหล่านั้นให้มากขึ้น
เพราะไม่มีใครรู้จริง ๆ ว่าเราแต่ละคนเหลือเวลากันอยู่เท่าไร
6. Pieces of Woman (Netflix)
ทรงพลัง สอนให้เรารู้จักให้อภัยอดีต หนึ่งในหนังที่ผมชอบที่สุดในปี 2021 นี้อย่างแน่นอน แค่เพียง 30 นาทีแรกก็คุ้มที่จะดูแล้ว ฉากลองเทค 22 นาที ไม่ตัดต่อ ยาวเท่าเวลาจริง เราจะได้เห็นช่วงเวลาของการคลอดเด็ก (ที่บ้าน) ตั้งแต่น้ำเดิน ปวดบีบสลับกับคลาย เครียด กังวล โทรเรียก Midwife (พยาบาลผดุงครรภ์หรือหมอตำแย) และขั้นตอนของการลุ้นให้เด็กออกมาดูโลก ...ต้องปรบมือให้กับนักแสดงที่แสดงได้เหมือนมาก (รวมถึงกล้องที่คอยถ่ายตามติดตัวละครได้ทุกซอกมุมของบ้าน)
แต่นั่นคือแค่ 30 นาทีแรกของหนัง ยังมีอีก 1 ชั่วโมงกว่า ๆ ที่เรื่องราวจะเกิดขึ้นต่อจากเหตุการณ์หลังคลอด อารมณ์ของหนังอาจไม่ตื่นเต้นเท่าตอนแรก ทำให้บางเสียงวิจารณ์บอกว่าเบื่อ แต่ส่วนตัวผมกลับชอบมาก มันค่อย ๆ เล่าถึงชีวิตที่เปลี่ยนแปลง ความขัดแย้งในครอบครัว ปมที่มีมาแต่หนหลัง ไปจนถึงการเรียนรู้ที่จะยอมรับและให้อภัย
อีกอย่าง (จริง ๆ หลายอย่าง) ที่ดีมากของหนังเรื่องนี้ก็คือ องค์ประกอบอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นสัญลักษณ์ต่าง ๆ เช่น สะพานข้ามแม่น้ำที่กำลังสร้าง เมล็ดแอปเปิ้ลที่เก็บไว้ ฤดูกาลที่ผันเปลี่ยน ดนตรีประกอบที่เพราะมาก ทั้งหมดนี้ยังไม่นับบทสนทนาที่เข้าใจคิดเข้าใจเขียน รวมถึงเสน่ห์ของดารานำฝ่ายหญิงอย่าง Vanessa Kirby
เธอคือคนที่ผมคิดว่ามีใบหน้าที่เท่และสวยที่สุดคนหนึ่งในวงการนักแสดง
7. I Lost My Body (Netflix)
อนิเมชั่นปี 2019 จากฝรั่งเศส ภาพสวย เนื้อเรื่องสนุก มีแง่คิด ไม่ยาวมาก เรื่องราวของหนุ่มส่งพิซซ่าผู้มีความหลังฝังใจในวัยเด็ก วันหนึ่งเขาไปส่งพิซซ่าแล้วเกิดชอบหญิงสาวคนที่สั่งพิซซ่า จึงไปสมัครงานกับลุงของเธอที่เป็นช่างไม้ เพื่อที่เขาจะได้พบหญิงสาวคนนี้
ระหว่างที่เล่าเรื่องหนุ่มคนนี้ หนังยังเล่าอีก 2 เรื่องคู่ขนานไปด้วย นั่นคือ หนึ่ง การเดินทางของ "มือ" ที่ออกตามหาร่างที่หายไป (อันเป็นที่มาของชื่อเรื่อง) และสอง เรื่องราวในอดีตของชายส่งพิซซ่า ความเจ๋งก็คือเรื่องราวทั้งหมดจะมาบรรจบและเฉลยในตอนท้าย นอกจากนี้หนังยังเล่าผ่านมุมมองของ "มือ" เสมือนประหนึ่งว่ามือมีตา เราจึงได้เห็นมุมมองแปลก ๆ แบบที่ไม่เคยมองมาก่อน (มีกี่คนที่จะสังเกตมือตัวเอง?) ใครอยากอ่านรีวิวแบบละเอียด ๆ (สปอยล์) อ่านได้ ที่นี่
8. The Sinner (Netflix)
นี่คือซีรีส์ประเภทที่เรียกว่า binge watch คือหยุดดูไม่ได้ ขนาดผมผู้ใจแข็ง ไม่เคยดูเรื่องไหนเกินวันละ 1 อีพี ยังเสร็จเรื่องนี้ ดูไป 3 อีพีรวดใน 1 วัน พล็อตคือนางเอก (Jessica Biel สวย เซ็กซี่ ภรรยา Justin Timberlake แสดงดีมากแบบทุ่มทุนสร้าง แบกทั้งเรื่องไว้) จู่ ๆ วันหนึ่งขณะพักผ่อนอยู่ชายทะเลกับสามีและลูกเล็ก เธอได้ยินเสียงกลุ่มวัยรุ่นเปิดเพลง และจู๋จี๋คลอเคลียกัน ทันใดนั้นเหมือนต้องมนต์ เธอเหมือนสติหลุด เดินตรงไปแล้วเอามีดแทงวัยรุ่นชายไม่ยั้ง จนเสียชีวิตคาที่ ประเด็นก็คือเธอคือฆาตกรแบบไม่ต้องสงสัย แต่คำถามคือ แม้แต่เธอเองก็ตอบไม่ได้ว่าเธอทำแบบนั้นทำไม? เรื่องราวจากนั้นที่เหลือก็คือการสืบสวนค้นลึกเข้าไปทั้งในจิตใจเธอและแวดล้อมอื่น ๆ เพื่อหาเหตุจูงใจให้เจอ
ความเจ๋งของหนังคือค่อย ๆ เล่าย้อนอดีตให้เราปะติดปะต่อเอาเอง แถมยังไม่รู้ด้วยว่าภาพย้อนหลังอันไหนจริงอันไหนหลอก บทหนังแข็งแรง คุมโทนอยู่หมัด พอเฉลยเรื่องทั้งหมดแล้วค่อนข้างสมเหตุสมผล อธิบายชื่อเรื่อง The Sinner ได้ดี มีความจิตวิทยาอยู่สูง ปมพ่อปมแม่ ปมเพศ การสะกดจิต จิตใต้สำนึก การระลึกอดีต มาหมด
หนังสนุกครับ แต่ละอีพีไม่ยาว 40 นาทีกำลังดี ซีซั่นแรกมี 8 ตอน (มีทั้งหมด 3 ซีซั่น แต่ผมแนะนำแค่ซีซั่นแรก)
9. Behind Her Eyes (Netflix)
ซีรี่ส์ 6 ตอนที่มาในแนว "จบหักมุม" เชื่อว่าจะมีทั้งคนที่ถูกใจและไม่ถูกใจในความหักมุมนี้ ผมลองอ่านคอมเมนต์ในเว็บ imdb ก็มีหลากหลายเสียง (แต่ส่วนใหญ่ชอบ) ตอนที่หนังเฉลยความลับ ผมถึงกับร้องออกมาว่า "เฮ้ย...เล่นอย่างนี้เลยรึ" โอเค เอาก็เอาวะ!
เรื่องราวของสาวผิวสี เธอคือคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวลูกหนึ่ง คืนหนึ่งในบาร์เธอพบชายหนุ่มรูปงาม จึงนั่งดื่มกันนิดหน่อย คุยกันถูกคอ แต่ไม่มีอะไรมากกว่าจูบที่เผลอใจ จนวันรุ่งขึ้นเธอพบว่าเขาคือเจ้านายคนใหม่ของเธอที่เพิ่งย้ายเมืองมา...และเขามีภรรยาอยู่แล้ว เดาได้ไม่ยากว่าทั้งคู่เข้าสู่วังวนกิเลส ทำเรื่องที่ไม่ควร จึงต้องเก็บเป็นความลับ ซึ่งความยุ่งยากมันอยู่ตรงที่วันหนึ่ง ภรรยาเจ้านายเดินชนหญิงผิวสีที่มุมตึก ทั้งคู่จึงกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกัน ความลับจึงยิ่งเก็บยากขึ้นเรื่อย ๆ
...เนื้อเรื่องเล่าได้ประมาณนี้ครับ ที่เหลือต้องลองไปดูต่อเอาเอง แต่ขอบอกว่าไม่มีทางเดาถูกเลยว่าเรื่องจะลงเอยอย่างไร แล้วทำไมหนังต้องชื่อเรื่องนี้ อยากรู้คำตอบ ต้องดูจนจบ เอาจริง ๆ เรื่องนี้จะดีกว่านี้มาก ถ้าสร้างเป็นหนังความยาว 2 ชั่วโมง
แต่พอมาเป็นซีรีส์ 5 ชั่วโมง ก็เลยเรื่อย ๆ ไปหน่อย (แต่ไม่แย่ ไม่ถึงกับน่าเบื่อครับ)
10. Reply 1988 (Netflix และ Viu)
อาจเชยไปหน่อยที่เพิ่งได้ดูเรื่องนี้ เพราะเขาฮิตกันมาตั้งนานมากแล้ว แต่ก็อยากชวนทุกคนให้ดูซีรีส์เกาหลีเรื่องนี้จริง ๆ ครับ ดีมากสมคำร่ำลือ มีซีรีส์หลายเรื่องที่ผมดูแล้วรู้สึกตื่นเต้น รู้สึกลุ้น รู้สึกได้พลังใจ แต่นี่คือเรื่องแรกที่ดูแล้ว "รู้สึกรักในตัวละครทุกตัว" เหมือนกับพวกเขามีชีวิตอยู่จริงและเป็นเพื่อนกับเรา ผมดูแล้วหัวเราะทุกตอน น้ำตาไหลทุกตอน และบางฉากหัวเราะจบแล้วซึ้งจนน้ำตาไหลก็มี ขอคารวะทีมผู้สร้างซีรีส์เรื่องนี้จริง ๆ เก่งมาก
หนังเล่าย้อนไปในปี 1988 เล่าถึงเรื่องราวของ 5 ครอบครัวธรรมดา ๆ ที่อยู่ซอยเดียวกัน สนิทกันทั้งรุ่นพ่อแม่และรุ่นลูก มีทั้งครอบครัวที่ยากจนเพราะเคยไปค้ำประกันให้คนอื่น มีทั้งครอบครัวที่ร่ำรวยขึ้นมาเพราะถูกล็อตเตอรี่ มีทั้งครอบครัวที่สูญเสียพ่อหรือแม่ไป ส่วนรุ่นลูก ๆ ก็มีทั้งวัยรุ่นเด็กเรียน เด็กซุกซน เด็กเฮฮา เด็กขี้อาย เรียกว่าคาแรกเตอร์หลากหลาย
ความเจ๋งของซีรีส์เรื่องนี้ก็คือ เรื่องราวแต่ละตอนไม่มีเหตุการณ์อะไรใหญ่โตมโหฬารเลย มันเป็นแค่เรื่องราวธรรมดา ๆ ที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน เช่น ความน้อยใจของลูกคนกลาง การแอบชอบเพื่อนในกลุ่ม ความวุ่นวายในครอบครัวที่มีแต่ผู้ชายเมื่อแม่ต้องไปต่างจังหวัด การสูญเสียญาติผู้ใหญ่ ผัวเมียไม่เข้าใจกัน พ่อแม่ไม่เข้าใจลูก พี่น้องทะเลาะกัน แต่หนังกลับเล่าเรื่องราวธรรมดา ๆ เหล่านี้ออกมาได้ไม่ธรรมดา ทั้งตลก ทั้งซึ้ง ทั้งให้แง่คิด
ข้อดีของการดูหนังดูละคร ก็คือ เรามีโอกาสได้สวมทับเป็นตัวละครนั้น ๆ ได้พอรู้คร่าว ๆ ว่าคนแต่ละแบบคิดอะไรอยู่ รู้สึกอย่างไร Reply 1988 จึงตอบโจทย์เรื่องนี้ได้อย่างดี เพราะมีตัวละครที่แตกต่างกันถึง 15 คนให้เราได้เรียนรู้ ทั้งในมุมของพ่อ แม่ ลูก สามี ภรรยา เพื่อน สะใภ้ แม่ยาย วัยรุ่น คนแก่
ส่วนตัวผมคิดว่าคนที่น่าจะอินกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ น่าจะเป็นคนรุ่นอายุ 40 กลาง ๆ ขึ้นไปจนถึง 50 ต้น ๆ เพราะวัยใกล้เคียงกับกลุ่มวัยรุ่นในเรื่อง เกิดทันยุคเช่าวิดีโอ เล่นรูบิก ฟังวอล์คแมน เขียนจดหมายหาดีเจรายการวิทยุ ดูการแข่งวิ่ง 100 เมตรของคาร์ล ลูอิส และเบน จอห์นสัน ...และยิ่งถ้าคุณเป็นคนต่างจังหวัดที่โตมาในตลาด เพื่อนบ้านรู้จักกัน เข้าบ้านนั้นออกบ้านนี้เหมือนครอบครัวเดียวกัน รับรองว่าเรื่องนี้โดนใจแน่ ๆ เพราะสภาพแวดล้อมในเรื่องคล้ายกับสังคมไทยมาก ๆ (แต่น่าแปลก ผมรู้จักซีรส์เรื่องนี้จากการแนะนำของวัยรุ่นอายุ 20 ต้น ๆ)
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้อาจไม่เหมาะกับนักดูหนังสายซีเรียส สมจริง เนื่องจาก Reply 1988 ตั้งใจทำให้ออกมาในแนว sitcom มีมุกฮา มีเอฟเฟกต์เสียงแพะรับมุก แต่ถ้าใครอยากอารมณ์ดี มีความสุข แนะนำเรื่องนี้เลยครับ ดูพร้อมกันทั้งครอบครัวยิ่งสนุกมาก
แม้ว่าแต่ละตอนจะยาวถึงชั่วโมงกว่า ๆ แต่เราจะรู้สึกว่าผ่านไปเร็วมาก
11. Classmates Minus (Netflix)
หนังไต้หวันเรื่องนี้สนุกแบบแปลก ๆ แนวอินดี้ เรื่องราวของชาย 4 คนที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม วันนี้พวกเขาอายุ 40 กว่าแล้ว แต่ชีวิตยังไม่ไปไหนมาไหนเลย ในรูปจากซ้ายไปขวา คนที่หนึ่งฝันอยากเป็นผู้กำกับหนัง แต่ทำได้แค่รับถ่ายทำโฆษณายาเพิ่มพลังท่านชาย คนที่สองเป็นพนักงานบริษัทที่ไม่ได้เลื่อนขั้นเสียที แถมยังต้องเป็นลูกน้องของเพื่อนตัวเองอีก คนที่สามเป็นโรคซึมเศร้า ไม่มีงาน ต้องรับจ้างทั่วไป คนที่สี่ทำอาชีพสร้างบ้านกงเต๊กรถกงเต๊ก และต้องคอยดูแลอาม่าที่แก่ชรา
จุดเปลี่ยนของทั้งสี่คนเกิดขึ้นพร้อมกัน นั่นคือ คนที่ฝันอยากทำหนัง จับพลัดจับผลูกลายเป็นตัวแทนลงเลือกตั้งท้องถิ่น คนที่เป็นพนักงานดันทำผู้หญิงท้อง คนที่เป็นซึมเศร้าได้พบสาวดาวโรงเรียนที่เคยแอบชอบ คนที่ทำกระดาษกงเต๊กต้องหาหญิงแต่งงานเพื่อแก้เคล็ดให้อาม่าที่ป่วยหนัก
โทนหนังเป็นหนังตลก ทะลึ่งทะเล้นนิดหน่อย เหมือนดูหนัง The Hangover ที่ไม่พังขนาดนั้น และในท่ามกลางความตลก หนังก็เสียดสี ประชดประชันสังคมไต้หวันว่าด้วยการดิ้นรนของชนชั้นกลางที่ทำงานเก็บเงินทั้งชีวิตก็ยังไม่มีสิทธิ์ครอบครองห้องเล็ก ๆ สักห้อง ซึ่งตรงกันข้ามกับภาพโฆษณาอสังหาอันสวยหรูในไต้หวัน
ย้ำอีกทีว่าหนังอาจไม่เหมาะกับคนชอบดูหนังสูตรปกติ เพราะไม่มีฉากให้ตื่นเต้นตรงกลาง แถมระหว่างทางยังมีความเหวอ ๆ ให้คนดูเห็นว่านี่มันหนังนะ ไม่ใช่เรื่องจริง (เช่น ใช้นักแสดงคนเดียวกันรับหลายบทบาท ให้คนดูเห็นกองถ่ายทำ) รวมทั้งตอนจบก็จบแบบที่คนดูอาจร้องออกมาว่า อ้าว จบแล้วเหรอ แต่ส่วนตัวผมดูแล้วชอบครับ คิดว่าใครชอบหนังของพี่ต้อม เป็นเอก ก็น่าจะชอบหนังเรื่องนี้ เพราะมีความคล้ายในเรื่องของอารมณ์ตลกร้ายเสียดสี ตัวละครไม่สมบูรณ์แบบ มาเฟีย ความตาย
ความเสื่อมโทรม นักการเมือง และเทพเจ้าแห่งหนังเอวี
12. Better Than Us (Netflix)
ซีรีส์รัสเซียเรื่องนี้สนุกกว่าที่คิดไว้มาก เรื่องราวของโลกอนาคตอันใกล้ เมื่อหุ่นยนต์เข้ามาช่วยงานมนุษย์มากขึ้น (คนชรามีหุ่นยนต์คอยดูแล ตำแหน่งงานบางงานถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ เช่น ผู้ช่วยพยาบาล พนักงานเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์) ซีรีส์เดินเรื่องจากหลายเหตุการณ์ที่พัวพันและดำเนินไปพร้อม ๆ กัน
พล็อตแบบไม่สปอยล์ พระเอกคืออดีตหมอผ่าตัดที่กลายมาเป็นหมอชันสูตรศพ วันนึงเขาเจอศพที่มีเงื่อนงำ แจ้งว่าหัวใจวาย แต่ที่จริงถูกฆ่าโดยหุ่นยนต์สาวสวยที่ทำออกมาได้เหมือนคนมาก ๆ (นางเอกของเรื่อง) ซึ่งเป็นหุ่นยนต์จากจีนที่ลักลอบนำเข้ามาในรัสเซีย จริง ๆ แล้วหุ่นยนต์ตัวนี้บริษัทตั้งใจใช้เป็นต้นแบบเสนอให้รัฐบาลซึ่งกำลังมีโครงการให้ประชาชนเกษียณตอนอายุ 40 ปี แล้วให้หุ่นยนต์ทำงานแทน ปัญหาก็คือหุ่นยนต์สาวตัวนี้หนีไป และไปผูกพันกับลูกสาวพระเอก ความวุ่นวายจึงเกิดขึ้น นี่ยังไม่นับเรื่องของกลุ่มต่อต้านหุ่นยนต์ที่ออกทำลายหุ่นยนต์เพราะไม่ต้องการให้พวกมันมาแย่งงานคน
ส่วนที่ผมชอบเกี่ยวกับซีรีส์รัสเซียเรื่องนี้มีหลายจุดครับ
หนึ่ง งานโปรดักชั่นไม่ขี้เหร่เลย ดีมากด้วยซ้ำ สภาพโลกในอนาคตไม่เว่อร์เกิน มีความเป็นไปได้หลายอย่างว่าจะเกิดจริงในโลกอนาคตอันใกล้ เช่น โดรนที่บินตรวจการณ์ทั่วเมือง การสั่งงานด้วยเสียง มือถือและแท็บเล็ตยังมีอยู่ แต่ดูล้ำสมัยขึ้น (อ่านข้อความที่ข้อมือเราได้ เช่น ยอดโอนเงิน ข้อความ SMS)
สอง พล็อตเรื่องดี ไม่เน้นความไฮเทคจนเกินพอดี พล็อตหลักอาจเป็นเรื่องการหุ่นยนต์และการตามล่า แต่พล็อตรองนั้นว่าด้วยเรื่องของความสัมพันธ์ในครอบครัว (ซึ่งทำได้ดีมาก) อีกอย่างครับ หนังไม่เครียด มีมุกตลกแทรกอยู่บ้าง โดยเฉพาะสิ่งที่เกี่ยวกับคนและหุ่นยนต์ (ฉากหุ่นยนต์สาวขอเสนอตัวเป็นภรรยาแทนภรรยาพระเอกนี่ฮามาก)
สาม นักแสดง มีเสน่ห์ทุกคน นักแสดงเด็กน่ารักมาก นักแสดงที่เล่นเป็นหุ่นยนต์ก็เล่นได้เหมือนมาก เล่นแข็งเป็นหุ่นเลย (นี่คือคำชม)
ตอนนี้ผมเพิ่งดูไป 5 ตอนจาก 16 ตอน ยังสรุปไม่ได้ว่าดีมากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าเอาเท่าที่ดู ถือว่าชอบเลยครับ ไม่ผิดหวัง ดูเพลิน ตอนละ 50 นาทีแป๊บเดียวจบ.
13. The Devil All the Time (Netflix)
โคตรลุ้น เต็ม 10 ไม่หัก ถ้าเป็นเมื่อก่อน หนังระดับนี้เราต้องดูในโรงเท่านั้น แต่ยุคนี้นั่งดูอยู่กับบ้านสบาย ๆ เรื่องราวเล่ายากว่าเกี่ยวกับอะไร เพราะตัวละครจะโยงใยเกี่ยวพันกันไปหมด (แต่ดูรู้เรื่อง ลุ้นมาก ไม่เบื่อเลย) เอาเป็นว่านี่คือเรื่องราวของผู้คนที่ทำให้เราเห็นความพร่าเลือนของความดี ความเลว คนที่ดูเป็นคนดี กลับเป็นคนเลว คนที่เป็นคนดี กลับจำต้องทำความเลว ภาพสวย ดนตรีทรงพลัง การแสดงเข้มข้น เนื้อเรื่องดราม่ามาก
อย่างไรก็ตาม ต้องเตือนก่อนครับว่าหนังเรท 18+ ในความหมายว่ามีฉากรุนแรง เลือดตกยางออกแบบเห็นกันเต็มตา ใครขวัญอ่อน ไม่แนะนำครับ แต่ถ้าใครชอบหนังแนว ๆ ผู้กำกับ เควนติน ทารันติโน แนวสองพี่น้องโคเอน ที่ตัวละครจะต้องมาข้องเกี่ยวกับความชั่ว อาชญากรรม ความตาย
รับรองว่าหนังเรื่องนี้ คุณจะชอบมากครับ
14.The King of Staten Island (Google Play)
เกินคาด หนังดีมาก หัวเราะร่า น้ำตาริน ครบเลย นี่คือหนังเรื่องใหม่ของ Judd Apatow ผู้กำกับ The 40-Year-Old Virgin, Knocked Up จริง ๆ เรื่องนี้ต้องเข้าโรงหนัง แต่โควิดระบาด ก็เลยต้องฉายออนไลน์ทั่วโลก เรื่องราวของหนุ่มวัย 24 ปีผู้ไม่เอาไหน เรียนไม่จบไฮสคูล ยังอาศัยอยู่กับแม่ คบเพื่อนพี้กัญชาไปวัน ๆ อาศัยอยู่ในเขตปกครองที่เจริญน้อยที่สุดของ New York อย่าง Staten Island พ่อเขาเป็นนักดับเพลิง เสียชีวิตตั้งแต่เขา 7 ขวบ พ่อคือฮีโร่ของเขา
วันหนึ่งแม่ผู้เป็นหม้ายมาสิบกว่าปี พบรักใหม่กับชายที่เพิ่งหย่าเมีย ถึงขั้นวางแผนแต่งงานกัน พระเอกของเราผู้ไม่ยอมโต เกิดอาการหวงแม่ ไม่อยากให้ใครมาแทนที่พ่อ จึงหาวิธีจัดขวางความรักครั้งนี้
สำหรับผมนี่คือหนังที่เส้นเรื่องสนุกมาก ดูง่าย ตลกร้ายในความวายป่วง แต่ค่อย ๆ พัฒนาไปสู่การเติบโตของตัวละคร จบสวยงามตามสไตล์ coming of age อันเป็นทางถนัดของผู้กำกับคนนี้ ชอบมาก
เพราะเดี๋ยวนี้หาหนังพล็อตง่าย ๆ ของคนธรรมดา ๆ แบบนี้ไม่ค่อยได้แล้วครับ.
Comments