1.
ตีห้า มึนหัว ตื่นมาแบบงง ๆ ฝันว่าได้กินสุกี้เอ็มเค (สงสัยจะหิวจริงๆ) เมื่อคืนพระพรกับหลานตัวน้อยออกไปนอนนอกห้อง บอกว่ากลัวหลานจะดิ้นมาทับผม เช้านี้ไอ้ตัวน้อยขอตามไปบิณฑบาตด้วย สะพายย่ามใบโตเกือบเท่าตัว
เรื่องแปลกของเช้านี้ก็คือ ถ้าไม่นับกับข้าวที่บิณฑบาตได้จากที่บ้านผมแล้ว วันนี้ผมบิณฑบาตไม่ได้เลย บาตรว่างเปล่าอย่างเหลืิอเชื่อ สงสัยคนจะเริ่มกลับกรุงเทพกันแล้ว เพราะหมดเทศกาลสงกรานต์
พระพี่เลี้ยงบอกผมว่ามีพระจากวัดไหนก็ไม่รู้ มาเดินวนเวียนอยู่แถวตลาด พอบิณฑบาตได้กับข้าวเต็มบาตร ก็เดินเอาไปใส่สามล้อ แล้วกลับเข้ามาในตลาดบิณฑบาตใหม่ ...วนไป
นึกถึงที่กรุงเทพฯ ผมเคยเห็นในบางตลาด พระไม่เดินบิณฑบาต แต่ยืนอยู่ข้างร้านขายกับข้าว รอให้คนใส่บาตรแล้วก็เอาออก ส่งกลับให้ร้านขายใหม่อีกรอบ
เป็นอะไรที่ดูแย่มาก
2.
ตกลงเราแยกพระกับเณรด้วยอะไร? ดูไม่ออกเลยว่าใครเป็นพระใครเป็นเณร ผมยืนคุยกับเณรรูปหนึ่งเป็นคนเชียงราย บวชได้ห้าพรรษาแล้ว และคงจะบวชไปเรื่อย ๆ ท่านเพิ่งกลับจากอบรมที่อยุธยา ผมจำได้ว่าท่านขึ้นเทศน์ด้วยสำเนียงเชียงราย ติดสำเนียงพม่าแบบไม่มีตัวสะกด ฟังแปลกหูดี
เสียงระฆังเรียกขึ้นศาลาฉันเพล ...ได้ฉันแล้ว หิวมาก
ในวงฉันเพล พระที่นั่งข้าง ๆ ชวนผมคุย แต่พูดอะไรก็ไม่รู้ ผมฟังไม่ค่อยออก ถามไปถามมาจึงได้รู้ว่าท่านมาจากขแมร์ (เขมรนั่นเอง) อิมพอร์ตตรงมาเลย บวชได้ห้าพรรษาแล้ว แต่ก็ยังพูดภาษาไทยไม่ค่อยชัดเท่าไหร่
มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านถามเณรว่ามีแฟ้บไหม เณรได้ยินว่ามีแฟนไหม เณรหน้าแดง ส่วนพระงง
ท่านบอกว่าคืนนี้ต้องกลับไปกรุงเทพฯ ไปต่อพาสปอร์ตแล้วค่อยกลับมาใหม่
ส่วนเณรอีกรูป ยังเด็กอยู่เลย แต่ชกมวยมาแล้วสิบเอ็ดครั้ง ชนะห้า แพ้หก และผมเพิ่งรู้ว่าบ่ายนี้ที่วัดจะมีการจัดชกมวยไทยทั้งหมดสิบคู่
เอาล่ะวะ มวยวัด!
3.
กลับมาซักผ้า ผงซักฟอกหมด ก็เลยวานให้เณรไปซื้อ ส่วนผมขัดห้องน้ำ อาบน้ำกลางวัน รักแร้ข้างขวาเริ่มเหม็นแล้ว แต่ข้างซ้ายยังคงเหม็นกว่า ผมรอญาติโยมสรงน้ำพระสงฆ์ ด้วยการเดินไปดูแม่ไม้มวยไทย
เวทีมวยตั้งอยู่กลางลานวัด ลักษณะเป็นผ้าใบขนาดใหญ่ ขึงเชือกสี่ด้าน ด้านละสามเส้น ผูกเชือกให้แนวนอนแคบเพื่อกันนักมวยตก ข้างเวทีมีไฟบอกจำนวนยกเรียงตามแนวตั้ง มีคนจับเวลาคอยกดออด คอยตีระฆังและดูนาฬิกา มีโฆษกพากย์มวย มีคนเป่าปี่กับคนตีกลองคอยดูจังหวะเพื่อเร่งเร้าอารมณ์คนดู
เหนือเวทีเป็นต้นโพธิ์ต้นใหญ่ ด้านหลังเป็นเจดีย์โบราณสมัยสุโขทัย อะไรจะได้บรรยากาศกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว นี่เป็นการดูมวยสดๆ ครั้งแรกในชีวิตของผม เสียงปี่เสียงกลองเร้าใจมาก รู้สึกได้เลยว่าหัวใจเต้นเร็ว
ทั้งที่อยู่ในวัด แต่เมื่อมีมวยก็มีการพนันอยู่ข้างเวที มวยที่ต่อยกันเริ่มตั้งแต่รุ่นเล็กจิ๋วน่าจะสิบขวบได้ (ยกเดียวจอดยอมแพ้ถอดใจ) ไปจนถึงวัยรุ่นสิบห้าสิบหก (ชกกันมันส์หยด) กลิ่นน้ำมันมวยลอยอบอวลทั่วสนาม
แต่ละฝ่ายมีทีมของตัวเองที่ดูเป็นมืออาชีพมาก หมดยกก็หยิบถาดเหล็กขนาดใหญ่ไว้รองน้ำขึ้นมาบนเวที พร้อมเก้าอี้ตัวเล็กให้นักมวยนั่งดื่มน้ำและนวดไปด้วย
ตอนบ่าย เพื่อน ๆ ผมกลับมาจากเที่ยวเชียงใหม่พอดี จึงแวะมาเยี่ยม ยืนดูมวยด้วยกันทั้งฆราวาสทั้งพระ พระบางรูปก็เชียร์ลั่น พระรูปหนึ่งถึงกับถ่ายวิดีโอเก็บไว้ คู่สุดท้ายเดือดมาก ทีแรกดูเหมือนฝ่ายน้ำเงินจะลอยลำ แต่ฝ่ายแดงฮึดขึ้นมา ทำเอาฝ่ายน้ำเงินเสียเชิงอยู่หลายครั้ง หมดยกฝ่ายแดงชนะไปในที่สุด
มวยจบ งานเลิก ทีมงานเก็บเวทีอย่างรวดเร็ว โฆษกบอกว่าคืนนี้เจอกันที่วัดอีกวัดหนึ่ง และให้สัญญาว่าจะมาจัดที่นี่ทุกปี
ทิ้งท้ายว่าถ้าผู้ใดสนใจติดปลายนวมก็ขอเชิญตามไปได้
4.
วันนี้มีอะไรทำทั้งวันก็เลยไม่มีเวลานึกถึงความหิว ไอ้โอ๊ตเด็กตัวน้อยที่พระพรพามา มันกินตลอดเวลา ย้ำว่ากินตลอดเวลาจริง ๆ ทั้งนม น้ำผลไม้ ขนมกรุบกรอบ ขนมไทย ๆ ผลไม้ ข้าวหมูแดง ข้าวพะแนงหมู เจเล่วิตามินซี ชาเขียว มีอยู่ครั้งหนึ่งมันบอกว่าข้าวบูด แต่ก็กินจนเกลี้ยง แถมกินเสร็จ ยังวิ่งไปอึไม่ปิดห้องน้ำอีก
บนถุงใส่จีวรอันใหม่ที่ยังไม่ได้ใช้เขียนไว้ว่า ”ชนิดดีสีไม่ตก” แต่ผมซักทีไร สีตกทุกที ตกลงโยมหลอกพระ หรือโยมหลอกโยมที่ซื้อมาให้พระกันแน่?
เดินไปดูโปรแกรมหนังวันนี้ฉายวันสุดท้าย พรุ่งนี้คงเงียบน่าดูและคงจะเป็นวันที่จริงกว่าภาพหลอก ๆ อย่างสามสี่วันที่ผ่านมา ซึ่งแทบหาความสงบไม่พบเลย
คุยกับเณรเชียงรายรูปเดิม พอท่านรู้ว่าผมทำงานอะไรก็สนใจถามใหญ่ (หมายเหตุ : ช่วงนั้นผมเป็นนักแต่งเพลงอยู่ที่จีเอ็มเอ็มแกรมมี่) ท่าทางจะสนใจวงการบันเทิง โดยเฉพาะเรื่องรายได้ เห็นถามใหญ่เลย
ผมชวยคุยเรื่องโลกของพระบ้าง เพิ่งรู้ว่าการศึกษาของพระ มี ป.ตรี โท เอก เหมือนกันกับฆราวาส เพียงแต่เรียนทางด้านรัฐศาสตร์ จริยศาสตร์ ปรัชญา ถ้าเรียนเปรียญเก้า ก็เทียบได้กับปริญญาตรี
แต่ถ้าสึกออกไป ก็ไม่มีประโยชน์ เนื่องจากเรียนมาทางสายพระ
5.
ตกเย็น พระพรยังคงเดินสายโชว์มายากลต่อไป ยังมีพระเณรอีกหลายรูปที่ยังไม่เคยเห็น จนผมมีความเห็นว่าน่าจะยึดเป็นอาชีพได้เลย เพราะเล่นเป็นหลายมายากล ลีลาก็แพรวพราว เณรเล็กเณรใหญ่มารุมล้อมกันเพียบ
นาน ๆ ไป ทุกรูปก็เริ่มอวดความสามารถกันใหญ่ ใครมีกลเม็ดอะไรก็งัดขึ้นมาโชว์ จนกุฏิจะกลายเป็นเวทีโชว์มายากลอยู่แล้ว (แม้แต่ผมก็ไม่เว้น)
นึกถึงเมื่อตอนกลางวัน เพื่อนผมคนหนึ่งซึ่งเคยบวชยี่สิบกว่าวัน บอกว่าเวลาที่ใช้ในการบวชไม่ใช่เรื่องสำคัญ ขึ้นอยู่กับว่าเราทำตัวอย่างไรมากกว่า (รู้สึกผิดเลย สงสัยต้องทำตัวดีกว่านี้)
ตรงข้ามกับตอนสรงน้ำเมื่อบ่าย โยมคนหนึ่งเคยบวชมาสิบกว่าพรรษา แกถามผมว่าบวชมากี่พรรษาแล้ว พอผมตอบไปว่าเพิ่งบวชไม่กี่วัน แกทำท่าไม่พอใจ และไม่ให้ความนับถืออย่างเห็นได้ชัด
พรุ่งนี้พระพี่เลี้ยงไม่อยู่แล้ว ท่านต้องไปต่างจังหวัดสิบกว่าวัน
เวทีนี้ไม่มีพี่เลี้ยงกำลังจะเริ่มแล้วสินะ.
(อ่านตอนอื่น ๆ กดที่แฮชแท็กนี้ครับ #ผมไม่มีผม )
หมายเหตุ : หนังสือเล่มแรกที่ทำให้หลายคนรู้จักผม คือ "งานไม่ประจำ ทำเงินกว่า" แต่จริง ๆ แล้วหนังสือเล่มแรกที่ผมเขียนและได้รับการตีพิมพ์ คือ "ผมไม่มีผม" เล่มนี้วางจำหน่ายเมื่อปี พ.ศ.2548 เนื้อหาคือบันทึกเรื่องราวที่ผมบวชเมื่อปี พ.ศ.2547 ไม่ได้บวชนาน (แค่ 11 วัน) ไม่ได้บวชไกล (วัดอยู่ติดกับบ้านเลยครับ) แต่ผมก็อุตส่าห์จดบันทึกประสบการณ์ช่วงนั้นเสียยืดยาว จนกลายมาเป็นต้นฉบับที่สำนักพิมพ์ a book นึกอย่างไรไม่รู้ ตัดสินใจรับพิมพ์ (และขายไม่ออก)
วันเวลาผ่านไป ผมพบไฟล์ต้นฉบับอยู่ในฮาร์ดดิสก์ตอนกำลังเก็บของเตรียมย้ายบ้าน แม้ไม่มีใครร้องขอว่าอยากอ่าน "ผมไม่มีผม" แต่ผมก็อยากนำมาเผยแพร่ไว้ที่นี้ โดยเรียบเรียงใหม่ให้กระชับขึ้น เอาไว้อ่านกันสนุก ๆ ครับ ส่วนถ้าจะได้สาระไปด้วย ให้ถือว่าเป็นของแถมก็แล้วกัน ผมจะทยอยลงในเว็บไซต์เป็นตอน ๆ นะครับ
Comments