1.
ผมคิดว่า "จอห์น เลนนอน" คือศิลปินที่เข้าใจชีวิตมากที่สุดคนหนึ่งเท่าที่ผมจะนึกออก โดยเฉพาะประเด็นเรื่องของ "ชีวิต" กับ "เวลา" ท่อนนึงในเพลง We can work it out ของ The Beatles เขาเขียนไว้ (ร่วมกับ พอล แม็คคาร์นี่ย์) ว่า "Life is very short. There's no time for fussing and fighting" ชีวิตมันแสนสั้น อย่าเสียเวลาไปกับการหงุดหงิดทะเลาะกันเลย
หรืออีกเพลงที่ผมชอบมาก ๆ จอห์น เลนนอน แต่งเพลงนี้ไว้เป็นเพลงกล่อมลูกชาย Sean Lennon ชื่อเพลงว่า Beautiful boy เนื้อเพลงท่อนหนึ่ง เขาเขียนไว้ได้อย่างคมคาย จนกลายเป็นประโยคอมตะของเขาจนทุกวันนี้ นั่นคือ "Life is what happens to you while you're busy making other plans." ชีวิตคือสิ่งที่เกิดขึ้นตอนที่เรากำลังยุ่ง ๆ วางแผนนู่นนั่นนี่อยู่
ผมเป็นคนที่ชอบครุ่นคิดเรื่อง "เวลา" มาแต่ไหนแต่ไร จึงถูกใจสองเพลงนี้มาก ๆ เพราะที่สุดแล้ว "ชีวิต" ก็คือ "เวลา" ใครใช้เวลาได้คุ้มค่า ย่อมแปลว่าคนผู้นั้นใช้ชีวิตได้คุ้มค่า ใครบริหารเวลาเป็น ก็เท่ากับบริหารชีวิตเป็น
สุภาษิตบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า "จงใช้ชีวิตราวกับวันนี้คือวันสุดท้าย แต่จงเรียนรู้ราวกับจะอยู่อีกพันปี" แต่เชื่อหรือไม่ว่าคนส่วนหนึ่ง ทำกลับกัน พวกเขา... "ใช้ชีวิตราวกับจะอยู่ไปอีกพันปี และไม่อยากเรียนรู้ ราวกับวันนี้จะอยู่เป็นวันสุดท้าย"
...นับเป็นเรื่องแปลกอย่างหนึ่งที่ผมพบเจอในชีวิต
2.
เราเสียเวลามากมายไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เราวุ่นวายกับการทำมาหากิน จนลืมใช้ชีวิต บางครั้งผมก็คิดว่าหรือชีวิตเราอาจยาวนานไป เราจึงมองไม่เห็นภาพรวม เพราะฉะนั้นมันอาจจะดีก็ได้นะครับ ถ้าเรา "หด" ชีวิตของเราให้กลายเป็นหนังความยาวแค่ "สองชั่วโมง"
หนังเรื่องนี้เป็นหนังชีวประวัติ เล่าเรื่องของเราตั้งแต่เกิดจนตาย ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ คุณคิดว่าหนังของคุณจะออกมาหน้าตาแบบไหนครับ?
แบบที่ 1 ตัวละครธรรมดา ๆ เรื่องราวพื้น ๆ น่าเบื่อ ใช้ชีวิตต่ำกว่าศักยภาพที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่ในตัว แล้วในที่สุดก็แก่ เจ็บ แล้วตายจากไป ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับผู้อื่น ๆ เท่าไรเลย ไม่ได้ทิ้งอะไรไว้ให้ผู้คนจดจำ
...หรือแบบที่ 2 ตัวละครไม่ธรรมดา เรื่องราวชีวิตมีอุปสรรคให้ฝ่าฟัน ล้มแล้วก็ลุก ลุ้นจนตัวโก่ง แต่ในที่สุดตัวละครก็เอาชนะทุกปัญหามาได้ ได้เดินทางออกไปเห็นโลก ไปพบผู้คนมากมาย ได้เป็นคนที่ส่งผลกระทบกับผู้คน ได้ทิ้งสิ่งที่มีประโยชน์ไว้ให้กับคนรุ่นหลัง
อยากมีชีวิตแบบไหน ในหนังสองชั่วโมงเรื่องนี้? ...คุณเลือกได้ครับ เพราะเราคือผู้กำกับหนังชีวิตของตัวเอง
3.
เคยรู้สึกแบบนี้มั้ยครับ? "ไม่รู้ว่าชีวิตนี้เกิดมาเพื่ออะไร?" ผมว่าหลายคนต้องเคยมีคำถามนี้ผุดขึ้นมาสักครั้งในชีวิต บางคนอาจซ่อนตัวเองอยู่ในงานยุ่งๆ บางคนอาจปล่อยตัวเองอยู่ในละครหลังข่าว บางคนอาจขังตัวเองอยู่ในแอลกอฮอล์เมามาย ทั้งหมดก็เพื่อไม่ให้คำถามนั้นผุดขึ้นมายามที่เสียงเงียบงัน
"ชีวิตนี้เกิดมาเพื่ออะไร?" ไม่ง่ายนะครับคำถามนี้ บางคนมีเงิน มีบ้าน มีรถ มีทุกอย่างพร้อม ก็ยังตอบคำถามข้อนี้ไม่ได้
ลองทำแบบนี้สิครับ เผื่อจะช่วยให้หาเจอว่า "ชีวิตนี้เกิดมาเพื่ออะไร?" ลองหาสมุดหน้าว่างๆ สักเล่ม พร้อมปากกา (ให้ผลดีกว่าพิมพ์ในมือถือหรือคอมพิวเตอร์) โดยสิ่งที่เราต้องทำก็คือ เขียนลงไปว่า... (ไม่ต้องนึกถึงความเป็นไปได้นะครับ แค่เขียนลงไปก็พอ)
อะไรคือ 30 สิ่งที่ฉันอยากทำก่อนตาย? อะไรคือ 30 สิ่งที่ฉันอยากมีก่อนตาย? อะไรคือ 30 สิ่งที่ฉันอยากเป็นก่อนตาย? รวมทั้งหมด 90 อย่าง
4.
ถามว่าวิธีนี้ช่วยอะไรได้? คำตอบก็คือ ตอนแรก ๆ มันจะง่ายมากที่เราจะเขียนถึงสิ่งที่อยากมี อยากทำ อยากเป็น เช่น เราอาจเขียนว่าฉันอยากมีรถสปอร์ตขับ ฉันอยากเป็นเศรษฐี ฉันอยากเที่ยวรอบโลก ฉันอยากมีบ้านหลังใหญ่ ฉันอยากดัง ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม หลังจากเขียนไปได้สักพัก สิ่งที่เราจะพบก็คือ เริ่มนึกไม่ออกว่าจะเขียนอะไรต่อ จากที่เขียนลื่นไหล จะเริ่มฝืดขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหมดก็เพราะความต้องการแรก ๆ ของเรานั้นเป็น "ความต้องการหยาบ" เป็นความต้องการที่ตื้นเขิน ส่วนใหญ่มักจะเกี่ยวกับวัตถุ
แต่หลังจากที่ "ขุด" ลึกลงไปในใจของเราเรื่อย ๆ จากหน้าชั้นผิวใจตื้น ๆ ที่มีแต่เรื่องวัตถุ เราจะเริ่มขุดค้นพบบางอย่างที่มากกว่านั้น ...บางอย่างที่เป็นเรื่องของใจ ใจเรา...ที่เราไม่เคยคุยด้วยมาก่อน
ถ้าลองทำครั้งแรกแล้ว ยังนึกออกไม่ครบ 90 อย่าง ก็หยุดไว้ก่อน พรุ่งนี้มาอ่านใหม่ในสิ่งที่เราเขียนไว้ ลองคุยกับตัวเองอีกครั้ง แล้วลงมือเขียนต่อ ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ มันจะค่อย ๆ ขุดเจาะค้นใจเราลงไปเรื่อย ๆ ลึกลงไป ลึกลงไปที่ตรงนั้น ...ในส่วนที่ลึกที่สุดของใจ
เราจะเริ่มตระหนักรู้ว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร? ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องใหญ่ระดับเปลี่ยนโลก แต่มันจะเป็นเรื่องสำคัญของเรา และจะเป็นเหมือนดาวเหนือนำทางให้เราเดินต่อไป
เอ้า! ให้ไวครับ สมุดอยู่ไหน ปากกาอยู่ไหน ด่วนเลย ใจเรารอคุยด้วยครับ
5.
อย่าไปเชื่อคนที่ชอบพูดว่า "ทำไม่ได้หรอก อย่าฝันให้สูงมากนัก จะเจ็บเปล่า ๆ ชีวิตเราได้เท่านี้ก็ดีแล้ว" คนที่เขาพูดแบบนี้ เขากำลังหมายถึงหนังชีวิตของเขาเอง หนังทุนต่ำที่ไม่มีคนดู ...ไม่ใช่หนังของเราที่จะฟอร์มยักษ์แค่ไหนก็ได้ ขึ้นอยู่กับเรา ลองกำกับหนังชีวิตของเราเอง ว่าอยากให้หนังเรื่องนี้เป็นแบบไหน เมื่อจอดับลง เมื่อไฟโรงหนังเปิด คุณอยากให้ผู้คนจดจำว่าหนังเรื่องนี้เป็นอย่างไร?
ผมเองก็กำลังสร้างหนังชีวิตของผมอยู่เหมือน ๆ กับคุณนั่นแหละครับ สนุกดีที่ได้ลุ้นว่าเราจะพาชีวิตไปได้ถึงจุดไหน
อ้อ...ไม่ต้องถามนะครับว่าเพลงประกอบหนังชีวิตของผมคือเพลงอะไร?
...ใช่ครับ We can work it out กับ Beautiful boy แน่นอน.
หมายเหตุ : เรียบเรียงจากบางส่วนของหนังสือ "ฉันเปลี่ยนเพราะเขียนเป้า" สั่งซื้อได้ ที่นี่
Comments