1.
ครั้งหนึ่ง "แมนนี่ ปาเกียว" ยอดนักมวยของโลก ถูกนักข่าวถามว่า อะไรคือสิ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้? เขาตอบสั้น ๆ ว่า "Life Need Coach" แปลว่า "ชีวิตต้องการโค้ช" ...ช่างเป็นคำตอบที่คม สั้น บาดใจเหลือเกิน
เรื่องนี้คนส่วนใหญ่เข้าใจผิด คิดว่าเรียนจบแล้ว เก่งแล้ว โตแล้ว ฉันทำงานหาเงินได้แล้ว เพราะฉะนั้นก็ไม่เห็นต้องฟังใคร สุดท้ายไปลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง ...บางคนก็เลยบาดเจ็บ แต่ไม่กล้าบอกใคร ทั้งที่จริง มีวิธีง่ายกว่านั้น วิธีที่เราไม่ต้องเจ็บตัว นั่นคือ ถามคนที่เคยผ่านมาแล้วว่าบนถนนที่เราจะไปนั้น มีหลุมบ่ออยู่ตรงไหนบ้าง เราจะได้ไม่ไปตกหลุมซ้ำให้เสียเวลาชีวิตที่แสนสั้น
แต่ก็นั่นแหละ พอเติบโตก็อีโก้เยอะ คิดไปว่าชีวิตคนไม่เหมือนกัน ใครจะโค้ชชีวิตเราได้ ...ไอ้คนที่มาโค้ชคนอื่นน่ะ ชีวิตตัวเองเอาให้รอดก่อนเถอะ
น่าเสียดายที่ใครบางคนคิดแบบนั้น เพราะเขาไม่เข้าใจว่า ผู้กำกับไม่จำเป็นต้องแสดงหนังเก่ง ก็กำกับหนังออกมาดีได้ เขาไม่เข้าใจว่า หมอรักษาเราได้ แต่หมอก็ป่วยได้เหมือนกัน เขาไม่เข้าใจว่า คนเราแก้ปัญหาตัวเองได้ แต่ไม่ดีเท่าการมีคนอื่นซึ่งมีประสบการณ์มาคอยบอกทาง จากนั้นเราก็นำมาปรับให้เหมาะสม
...ไม่ใช่ไม่ยอมฟังใครเลย
2.
นานมาแล้ว ผมเคยเถียงกับเพื่อน เพื่อนบอกผมว่าคนเราเหมือนหุ่นยนต์ โต้ตอบสถานการณ์คล้าย ๆ กัน ผมในตอนนั้นเถียงขาดใจ จะบ้าเหรอ คนมีชีวิตจิตใจ จะคิดคล้ายกันได้อย่างไร?
กาลต่อมา ผมจึงเพิ่งตระหนักว่า คนเราคาดเดาง่ายเหลือเกิน เมื่อเจอกับสถานการณ์หนึ่ง เรามักโต้ตอบคล้ายกันจนเดาได้ เรามักผิดพลาดจุดเดียวกัน ตกหลุมเดียวกัน ตัวอย่างเช่น นักเล่นหุ้นที่เปลี่ยนหน้าเข้ามา ล้วนขาดทุนด้วยวิธีการเดียวกัน นั่นคือ ไม่ศึกษาหาความรู้ แต่เที่ยวไปขอหุ้นเด็ดจากตรงนั้นตรงนี้ ...สุดท้าย หุ้นเด็ดกลายเป็นหุ้น "เด็ดวิญญาณ"
หรืออีกตัวอย่าง คนที่ออกมาทำธุรกิจเล็ก ๆ ของตัวเอง ล้วนขาดทุนด้วยเหตุผลคล้าย ๆ กัน เช่น เปิดร้านกาแฟร้านเล็ก ๆ ของตัวเอง ด้วยความคิดว่าอยากเป็นเจ้าของร้านน่ารัก ๆ สักร้าน ถ้าฉันได้ใช้ชีวิตอยู่ที่ร้านทั้งวัน คงสุขใจ เปิดเพลง ชงกาแฟให้ลูกค้า ว่างก็นั่งอ่านหนังสือ ...สุดท้าย ลูกค้าน้อยมาก รายได้ไม่พอค่าเช่าร้าน อยู่นาน ๆ ไปก็เริ่มเบื่อ จะจ้างพนักงานก็ไม่คุ้ม ในที่สุดก็ปิดร้านไปอย่างเงียบ ๆ เพราะลืมคิดเรื่องรายได้และต้นทุน
หรือจะเป็นตัวอย่างอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับธุรกิจ เช่น เวลาเจอปัญหาชีวิต เราหลายคนล้วนตกอยู่ในหลุมดำที่ให้ความรู้สึกไม่ต่างกัน คิดไม่ออก ไปไม่เป็น และต้องการคำแนะนำให้เราหลุดออกจากสถานการณ์นี้
เมื่อเป็นเช่นนี้ ชีวิตจึงต้องการโค้ชผู้มีประสบการณ์ ซึ่งจะเรียกว่าครู อาจารย์ เมนทอร์ โค้ชหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ที่แน่ ๆ เราควรมี "โค้ชชีวิต" ที่ช่วยเป็นคู่คิดให้เรา
บางคนอาจกลัวจะถูกครอบงำความคิดหรือเปล่า ถ้ายกให้เขาเป็นผู้นำทางให้เรา ...คำตอบก็คือ เราไม่จำเป็นต้องมีโค้ชคนเดียว
และข่าวดีกว่านั้น เรายังไม่จำเป็นต้องมีโค้ชตัวเป็น ๆ เพราะเราสามารถจัดประชุม "โค้ชในจินตนาการ" ได้ครับ
3.
ผมได้วิธีนี้มาจากหนังสือ The Law of Success ของ นโปเลียน ฮิลล์ จะขอนำมาเล่าง่าย ๆ สไตล์ผมให้ฟัง วิธีจัดประชุมโค้ชในจินตนาการก็คือ
1. เลือกคนที่เราคิดว่าเขามีผลลัพธ์ของชีวิตแบบที่เราต้องการมา 5 คน จากนั้นให้ติดตามผลงานของพวกเขา จนพอจะรู้จักแนวคิดของคนทั้งห้านี้
2. จากนั้นเมื่อมีปัญหาหรือโจทย์ชีวิตต้องตัดสินใจ ก็ให้เราหาที่สงบเงียบ แล้วคิดแก้ไข้ปัญหานี้ ในมุมของโค้ช "แต่ละท่าน" สลับกันไป เช่น ถ้าเราชอบ สตีฟ จ็อบส์ และศึกษาความคิดของเขามาเยอะ ให้ถามตัวเองว่า ถ้า สตีฟ จ็อบส์ เจอปัญหานี้ที่เรากำลังเจออยู่ เขาจะแก้ปัญหานี้อย่างไร? (อย่าไปคิดในมุมว่า ใช่สิ...ก็จ็อบส์รวย มีชื่อเสียง ก็แก้ปัญหาได้สิ ผมหมายถึงให้ใช้ "ปัญญา" ของเขา ไม่ใช่ชื่อเสียงเงินทองครับ) จากนั้นก็เปลี่ยนไปที่โค้ชคนอื่นที่เราชื่นชอบ เช่น ถ้าเป็น แจ็ค หม่า เจอปัญหาเดียวกับเรา เขาจะแก้อย่างไร? (แต่ในข้อแม้ว่าเราต้องศึกษาความคิดของแจ็ค หม่า มาระดับหนึ่งแล้วนะครับ)
3. เมื่อวนจนครบ 5 คน ทีนี้เราเองในฐานะประธานในที่ประชุม ต้องเลือกแล้วล่ะครับว่า จะใช้ความคิดของโค้ชแต่ละคน มาประกอบการตัดสินใจของเราอย่างไรดี เมื่อตัดสินใจได้ ก็เลิกประชุมโค้ชในจินตนาการ
เท่านี้เอง ฟรี! ไม่เสียตังค์สักบาท
4.
ฟังดูเหมือนเล่น ๆ แต่ได้ผลจริงนะครับ เมื่อคิดในมุมของคนที่เรายกให้เขาเป็น "โค้ชชีวิต" แล้วเราจะคิดต่างไป
เราจะไม่ใจร้อน ไม่วู่วาม ไม่ตกอยู่ในปัญหา จนถอยออกมามองภาพใหญ่ไม่เห็น
เหมือนอย่างที่ แมมนี่ ปาเกียว บอกนั่นแหละครับ "ชีวิตต้องการโค้ช" และเราต้องสรรหาเอง ไม่ว่าจะเป็นโค้ชตัวเป็น ๆ (ที่ให้คำปรึกษาเราได้ โดยเขาอาจไม่รู้ตัวว่าเป็นโค้ชให้เราอยู่) หรือโค้ชในจินตนาการ (ที่มีข้อแม้ว่าเราต้องศึกษางานของเขา จนพอจะเข้าไปอยู่ในความคิดของเขาได้) จากนั้นหมั่นปรึกษาหารืออยู่เป็นระยะ ชีวิตจะตัดสินใจได้ถูกต้องขึ้นเรื่อย หรืออย่างน้อยก็มองได้รอบด้านกว่าการคิดคนเดียว
ก็ขนาดนักมวยระดับโลก ผู้ช่ำชองบนสังเวียนผืนผ้าใบ ยังบอกว่าชีวิตนี้ต้องมีโค้ช ...แล้วคนธรรมดาอย่างเรา จะขึ้นสังเวียนชีวิต ไปลุยถั่วมั่วเองงั้นหรือ? ...เจ็บตัวเปล่า ๆ
ว่าแต่...วันนี้คุณมีโค้ชชีวิตแล้วหรือยังครับ?
Comments