top of page

ชีวิตคือศิลปะของการเลือกใช้เวลา

Updated: Feb 22, 2021

1.

หลายปีก่อน ตอนที่ลูกสาวคนโตของผมยังเด็กมาก มีอยู่วันหนึ่ง เธอเดินเข้ามากอดผม แล้วก็พูดว่า "หนูจะรักป๊าไปตลอดชีวิตเลย ...แต่ว่าตอนที่ป๊าตายไปแล้ว แล้วหนูจะรักใครล่ะ?"

ภาพถ่ายโดย Juan Pablo Serrano Arenas จาก Pexels

ฮึ่ม! พูดอะไรเป็นลางเนี่ยลูก? ตอนแรกผมคิดอย่างนั้น แต่สักพักคำถามของเด็กน้อยก็ทำให้ผมฉุกคิดบางอย่างขึ้นมา นั่นสิ... เราต่างรู้ว่าวันเวลาดี ๆ ไม่เคยอยู่กับเราไปตลอด แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าวันนี้ไม่ใช่วันสุดท้าย ที่จะได้ใช้ชีวิตกับคนที่เรารัก...และรักเรา


...ผมนึกถึงเพลงเก่าเพลงหนึ่งของ Harry Chapin ชื่อเพลงว่า Cat's in the Cradle เนื้อหาในเพลงพูดถึงผู้ชายคนหนึ่ง ภรรยาเพิ่งคลอดลูกชาย แต่เขาก็ไม่ค่อยได้อยู่กับลูกเมีย เพราะต้องทำงานหาเงิน ตอนลูกหัดเดิน เขาก็ไม่เคยได้อยู่ในช่วงเวลานั้น วันหนึ่งเมื่อถึงวัยพูดได้ ลูกชายบอกกับเขาว่า "โตขึ้นผมจะเป็นอย่างพ่อครับ"


ทุกวันลูกเอาแต่เฝ้าถามชายผู้เป็นพ่อว่า "พ่อครับ วันนี้พ่อจะกลับบ้านกี่โมง?” ฝ่ายพ่อก็ได้แต่ตอบว่า "ยังไม่รู้เลยลูก"


พอลูกอายุสิบขวบ พ่อซื้อลูกบอลให้ลูกชาย ลูกบอกว่า "ขอบคุณครับพ่อ พ่อสอนผมหน่อยว่าเล่นยังไง"

“เอาไว้ก่อนลูก พ่อยังไม่มีเวลา" เป็นคำตอบเดียวที่ผู้ชายคนนี้ให้กับลูก

แต่ลูกก็ยังอุตส่าห์บอกไปว่า "ไม่เป็นไรครับ พ่อคือฮีโร่ของผม โตขึ้นผมจะเป็นอย่างพ่อครับ"


เวลาผ่านไปจนกระทั่งลูกเรียนจบวิทยาลัย ลูกกลับมาบ้าน พ่อดีใจมากเพราะไม่ได้เห็นหน้าลูกชายมานาน

"มานั่งคุยกันหน่อยสิลูก" ลูกส่ายหัว ยิ้มแล้วพูดว่า "แล้วค่อยคุยกันพ่อ ผมแค่จะมาขอยืมกุญแจรถพ่อน่ะครับ"

วันเวลายังคงเดินไป ชายผู้เป็นพ่อเกษียณแล้ว ฝ่ายลูกชายแต่งการแต่งงาน ย้ายออกจากบ้านไปนานแล้ว

วันนึงด้วยความคิดถึง พ่อจึงโทรหาลูก "ว่างไหมลูก? พ่ออยากเจอ"

ลูกชายตอบมาว่า "ผมก็อยากเจอพ่อนะครับ แต่งานผมยุ่งมาก เด็ก ๆ ก็เป็นหวัดกันอยู่ ไว้โอกาสหน้านะครับ ดีใจที่ได้คุยกับพ่อนะครับ" แล้วก็วางหูไป


เป็นตอนนั้นเองที่ผู้ชายคนนี้เพิ่งตระหนักถึงคำพูดของลูกชายที่บอกว่า

"โตขึ้นผมจะเป็นอย่างพ่อครับ"


...ว่าแต่ ผมเป็นพ่อแบบในเพลงนี้หรือเปล่านะ?


2.

บ่อยครั้งที่ผมมัวเอาเวลาไปแลกกับเงิน แล้วก็พร่ำบอกลูกว่า "เอาไว้ก่อนนะลูก ป๊ายังไม่ว่าง" ว่าแล้วก็หันหลังก้มหน้าตาทำงานต่อไป ...มันคงเจ็บพิลึก ถ้าลูกจำแผ่นหลังของผมที่กำลังทำงาน...ได้มากกว่าใบหน้า


หลายปีก่อน ผมเคยได้ยินแนวคิดหนึ่งที่สอนกันว่า ลูกเต้าวัยอ่อนยังไม่ต้องดูแลมากตอนนี้ก็ได้ เพราะเขายังเด็ก ไม่เสียคนหรอก ให้พ่อแม่รีบขยันหาเงินตั้งแต่ตอนนี้ เสาร์อาทิตย์ก็ให้ทำงาน เมื่อประสบความสำเร็จ อนาคตจะได้มีทุกวันเป็นวันครอบครัว จะได้อยู่ด้วยกันทุกวัน จะได้มีเงินดูแลความฝันของลูก ๆ


ผมเคยเชื่อแบบนั้น ตอนนั้นจึงแทบไม่เคยอยู่บ้าน ออกทำงานทุกวันไม่เว้นเสาร์อาทิตย์ ...กว่าจะหายโง่ว่าความสำเร็จไหน ก็แลกเอาวัยเด็กกับความน่ารักของลูกคืนมาไม่ได้ ก็เมื่อผมเสียวันเวลาที่ใช้ร่วมกันกับลูกสาวคนเล็กไปเป็นปี เพราะแทบไม่เคยอยู่กับลูกเลย

วันนี้ผมเข้าใจแล้วว่า...กอดลูก คุยกับลูกตอนสามขวบ ไม่มีทางเหมือนวันที่เขาสิบสามหรือสามสิบ


ชีวิตไม่ใช่การทุ่มเทเวลาทั้งหมด เพื่อเสาะแสวงหาแคปซูลอาหารที่กินแล้วอิ่มทั้งชีวิต ชนิดที่ว่าไม่ต้องกินอีกเลย แต่ชีวิตอาจคือการหุงข้าวสวยกลิ่นหอมฉุย ผัดกับข้าวควันโขมง กินกันพร้อมหน้าพร้อมตา


มองในตู้เย็น ดูตู้กับข้าว ...เราพอมีพอกิน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่


3.

มันไม่ใช่ "สตางค์" ที่สำคัญที่สุด แต่ "สไตล์" ต่างหากคือสิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง "อยากมีไลฟ์สไตล์แบบไหน?" คือคำถามแรกที่เราควรถามตัวเอง แล้วคำถามต่อมา จึงค่อยเป็นคำถามนี้ "แล้วต้องทำอย่างไร ต้องใช้สตางค์เท่าไหร่ เพื่อให้ได้ไลฟ์สไตล์นั้น?" จากนั้นจึงวางแผน แล้วลงมือทำให้ได้ไลฟ์สไตล์นั้นมาครอง


ฟังดูน่าเกลียดนะครับที่พูดเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ กับความฝันและไลฟ์สไตล์ แต่เราอยู่ในโลกทุนนิยม แทบทุกความฝันต้องใช้เงิน บางไลฟ์สไตล์ต้องใช้สตางค์เยอะ แต่บางไลฟ์สไตล์ก็ใช้เงินน้อยกว่าที่เราคิดไว้มาก


ระหว่างคนที่ความสุขของเขาคือ การได้ขับรถคันใหม่ ได้ใช้มือถือรุ่นล่าสุด ได้อยู่บ้านหลังโตๆ ได้ใช้ของแบรนด์เนม ได้เที่ยวต่างประเทศ กับอีกคนที่ความสุขของเขาคือ การได้นั่งชมนกชมไม้ในสวนสาธารณะ ได้จิบกาแฟสักแก้ว ได้อ่านหนังสือดีๆ สักเล่ม บ่าย ๆ ได้นอนสักงีบ ตอนเย็นเดินเล่น ออกกำลัง วันหยุดเที่ยวที่ไหนก็ได้ ขอแค่ครอบครัวพร้อมหน้าก็พอ

สองคนนี้ไม่มีใครผิด-ถูก-ดี-เลวกว่ากัน แค่ต่างกันตรงความยาก-ง่ายในการมีความสุขเท่านั้นเอง คนแรกอาจต้องออกแรงมากหน่อย คนหลังอาจง่ายหน่อย เพราะไม่ต้องพึ่งปัจจัยภายนอกมากนัก


ย้ำอีกทีว่าสองคนนี้ไม่มีใครผิด-ถูก-ดี-เลวกว่ากัน อยู่ที่ชอบแบบไหนแค่นั้น


จริงอยู่ที่เป้าหมายของชีวิตนั้นไม่ใช่ "เงิน" แต่คือ "ความสุข" แต่เราต้องยอมรับว่าหลายความสุขก็ใช้เงินซื้อได้ ประเด็นก็คือ ถ้าเรามีความสุขโดยไม่ต้องใช้เงินได้มากเท่าไหร่ มันก็เหมือนเราเจอทางลัดออกจากป่า เพื่อไปสู่แหล่งน้ำอันชื่นใจได้เร็วขึ้นเท่านั้น


วันนี้เรามีไลฟ์สไตล์ในแบบที่ต้องการหรือยัง?


4.

ผมค่อนข้างไม่เห็นด้วยกับประโยคสายลมแสงแดดที่บอกว่า "ระหว่างทางนั้นสำคัญกว่าเป้าหมาย" และคิดว่าที่ถูกต้อง มันน่าจะเป็น "เป้าหมายนั้นสำคัญ แต่อย่าลืมมองความงามระหว่างทางด้วย"


ผมไม่เห็นด้วยกับประโยคที่บอกว่า "เงินซื้อความสุขไม่ได้" ผมว่าที่ถูกมันน่าจะเป็น "เงินซื้อความสุขได้หลายอย่าง แต่ไม่ใช่ทุกอย่าง" บางทีมันอาจถึงเวลาแล้วที่เราจะพิจารณาว่า ประโยคเท่ๆ แต่ผิดตรรกะนั้น ได้ทำลายศักยภาพของคนเราไปเท่าไหร่แล้ว?


คำถามคลาสสิกที่ชอบถามกันก็คือ ระหว่าง "ความร่ำรวย" กับ "ความสุข" จะเลือกอะไร? ก.ความร่ำรวย ข.ความสุข ค.ทั้ง ก. และ ข.


คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ผูู้คนจำนวนมากเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ข้อ ก. ก็ข้อ ข. เขาไม่เชื่อว่าข้อ ค. มีอยู่จริง ที่ตลกร้ายกว่านั้นก็คือ ผู้คนจำนวนมากไม่มีทั้งความร่ำรวยและความสุข ...พูดง่าย ๆ เขาไม่ได้กาคำตอบเลย


ถ้าเป็นผม ขอเลือกข้อ ค. ผมเลือกทั้งสองอย่างนั่นแหละ เพราะถ้าเราเจอแบงค์พันกับช่อดอกไม้ตกอยู่ที่พื้น ทำไมเราจะต้องเลือกเก็บแค่อย่างเดียว? เพราะชีิวิตไม่ใช่การหาเงินให้ได้มากที่สุด ชีวิตไม่ใช่การหาความสุขให้ได้มากที่สุด


แต่ชีวิตคือศิลปะของการเลือกใช้เวลา ไปกับสิ่งที่มีความหมาย (ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าต้องใช้เงิน)


5.

"...แต่ว่าตอนที่ป๊าตายไปแล้ว แล้วหนูจะรักใครล่ะ?" คำถามนี้ที่ลูกถามผม ผ่านมาหลายปีแล้ว ผมยังไม่ตาย หลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก ผมลาออกจากงานประจำ ทำงานอยู่ที่บ้าน รับงานนอกบ้านบ้าง แต่ชีวิตส่วนใหญ่ก็อยู่ที่บ้าน ได้ใช้เวลากับครอบครัวอย่างที่ต้องการ ไปรับลูกที่โรงเรียน เล่นกับลูก พาลูกเที่ยว กินข้าวเย็นด้วยกันแทบทุกวัน ใช้วันเวลาร่วมกัน


...เพราะเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าวันนี้ไม่ใช่วันสุดท้าย ที่จะได้ใช้ชีวิตกับคนที่เรารัก...และรักเรา


"...แต่ว่าตอนที่ป๊าตายไปแล้ว แล้วหนูจะรักใครล่ะ?" ...วันนั้นผมตอบเธอไปว่าอย่างไรน่ะเหรอครับ? ผมตอบไปว่า "ป๊าไม่มีวันตายหรอกลูก ป๊าเป็นอมตะ ฮ่าๆๆ"


ได้ฟังคำตอบนี้ เด็กน้อยที่ยังไร้เดียงสา ดีใจใหญ่ ร้องลั่น "เย่ เย่ ป๊าไม่มีวันตาย" ...ใช่...ป๊าไม่มีวันตายหรอก ป๊าอยู่ในหัวใจหนูนั่นแหละ ผมคิดในใจ


"การได้อยู่ในห้วงคำนึงของใครคนหนึ่ง...แม้ในวันที่เราจากไป เพราะตอนที่ยังหายใจ เราต่างได้ใช้เวลาสร้างความทรงจำร่วมกัน"


...และบางที ประโยคนี้เองที่อาจคือความหมายของชีวิต.


หมายเหตุ : เรียบเรียงจากบางส่วนของหนังสือ "งานไม่ประจำ ทำเงินกว่า" สั่งซื้อได้ ที่นี่

7,750 views1 comment

1 則留言


เป็นบทความที่ดีมากครับ

按讚
Home: Blog
Screen Shot 2561-12-19 at 01.56.23.png
Screen Shot 2561-12-19 at 01.56.34.png

กรอกข้อมูล รับฟรี! ebook บนท้องฟ้ารถไม่เคยติด

bottom of page