1.
"ถ้ามองแค่ว่าทำงานบริษัทนี้ แล้วฉันจะได้เงินเดือนเท่าไหร่ แปลว่าคุณมองแค่เดือนนี้ เดือนหน้า คุณไม่ได้มองไปไกลกว่านี้ว่าเส้นทางนี้จะพาชีวิตไปไหนต่อ ...คุณกำลังคิดสั้นเกินไป" ผมได้ฟังประโยคนี้จากรุ่นพี่วิศวะโยธา จุฬาฯ ท่านหนึ่งซึ่งบรรยายร่วมเวทีเดียวกันกับผม เนื่องในวันปัจฉิมนิเทศนิสิตจุฬาฯ
ทั้งที่ผ่านไปหลายปีแล้ว แต่ก็ยังประทับใจจนถึงทุกวันนี้ จำได้ว่ามีอยู่หัวข้อนึง พิธีกรถามพวกเราทุกคนบนเวทีว่า "รู้สึกอย่างไรกับเงินเดือนเริ่มต้นของวิศวกร?"
ผมเองจบวิศวะ แต่ไม่เคยทำงานวิศวะ จึงตอบคำถามนี้ไม่ได้ แต่รุ่นพี่หลายท่านที่มาพูดในงานนี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับประเทศ และเคยผ่านการเป็นผู้สัมภาษณ์ผู้สมัครงานมามากมาย ทุกท่านตอบคล้าย ๆ กันว่า เด็กรุ่นใหม่สนใจแต่ว่า "เงินเดือนเท่าไหร่? วันหยุดกี่วัน? ถ้าที่ไหนให้มากกว่า ก็จะย้ายไปที่นั่น"
แล้วรุ่นพี่ท่านหนึ่งก็กล่าวว่า "พูดตรง ๆ เงินเดือนเริ่มต้นมันไม่เยอะหรอกครับ อย่าไปคิดเลยว่ามันจะคุ้มกับที่พ่อแม่ส่งเสียกว่าจะเรียนจบ ...เพราะมันไม่คุ้มแน่ ๆ"
แล้วเขาก็พูดประโยคคม ๆ ที่ผมจั่วหัวไว้ด้านบน เงินเดือนคือการมองระยะสั้น แต่การมองระยะยาวกว่านั้นคือต้องมองว่าบริษัทนี้ที่เราสังกัดอยู่ จะพาเราไปได้ไกลแค่ไหน? อะไรคือเส้นทางอาชีพ หรือ Career Path ของเรา?
คนที่มองระยะยาว ๆ ได้ขาด เขาจะไม่สนใจเงินเดือนเริ่มต้น ...แต่จะสนใจว่าต่อจากนี้ บริษัทนี้ งานนี้ อาชีพนี้ จะพาฉันไปทางไหน?
ผมว่าเรื่องนี้จริงยิ่งกว่าจริง คุณสมบัติสำคัญประการหนึ่งของคนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต สิ่งนั้นก็คือ การมองภาพใหญ่ มองยาว ๆ ไม่ใช่การสนใจสิ่งเล็ก ๆ ที่อยู่ตรงหน้า แล้วตัดสินว่าตลอดทางจากนี้ไปคงเป็นแบบนี้แหละ
ใครจะรู้...ซอยเล็ก ๆ แคบ ๆ พอเดินเข้าไปแล้ว อาจเจอผืนดินกว้างขวางอุดมสมบูรณ์ก็ได้
2.
"เราใช้เวลาอยู่ที่ทำงานวันละ 8 ชั่วโมง เป็นไปได้อย่างไรที่เราจะไม่มีภาพความฝันอยู่ในหัวเลย?" อีกหนึ่งประโยคชวนคิด ประโยคนี้เป็นคำพูดของกรรมการผู้จัดการบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง ผมมีโอกาสได้คุยกับท่านนี้บนห้องผู้บริหารชั้นสูงสุด มองออกไปเห็นสนามหญ้า ต้นไม้ใหญ่สุดลูกหูลูกตา แม้จะเป็นเวลาแค่ไม่กี่นาที แต่ประโยคสั้น ๆ นี้ทำให้ผมฉุกคิดอะไรได้ไม่น้อย
เป็นความจริงที่เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตหมดไปกับการทำงาน ซึ่งไม่ได้เริ่มนับตั้งแต่วันแรกเข้าทำงาน แต่นับจากวันที่เราเข้าโรงเรียนอนุบาล ประถม มัธยม มหาวิทยาลัย เพราะทั้งหมดนี้ปลายทางของมันก็คือ เราเรียนเพื่อที่จะได้ "มีอาชีพดี ๆ มีงานทำ มีรายได้ดี"
ทั้งที่เวลาเกือบทั้งชีวิต เราจะต้องใช้ไปกับการทำงาน แต่เหมือนเราถูกสอนให้เรียนจบออกไปเพียงเพื่อจะได้งานที่เงินดี ๆ ตำแหน่งสูง ๆ ...ไม่ยักมีใครสักคนบอกเราว่า "ให้หางานที่รักและบันดาลใจเรา"
เมื่อทำงานนาน ๆ ไป เราหลายคนกลับพบว่า เงินไม่ดีอย่างที่คิด ตำแหน่งก็ขึ้นยาก ...ไม่ต้องถามเรื่องความรักในงาน เพราะเราไม่มีตั้งแต่แรก กี่คนที่ทำงานแล้วมีภาพฝันอยู่ในหัวว่า "ฉันอยากประสบความสำเร็จในชีวิตด้วยงานที่ฉันทำอยู่" คนมากกว่ามาก ล้วนทำงานแค่ให้มีเงินใช้เดือนต่อเดือน เมื่อคิดแบบนั้น จะมีภาพความฝันแบบนี้อยู่ในหัวได้อย่างไร?
ถ้าวันนี้เราใช้เวลาอยู่กับงานของตัวเองตลอดทั้งวัน แต่กลับไม่มีภาพฝันเลยว่าฉันจะสำเร็จเพราะงานนี้ ...ผมคิดว่ามันต้องมีบางอย่างไม่ถูกต้อง
"เราใช้เวลาอยู่ที่ทำงานวันละ 8 ชั่วโมง จะเป็นไปได้อย่างไรที่เราจะไม่มีภาพความฝันอยู่ในหัวเลย?" ผมว่านี่เป็นประโยคชวนฉุกคิดที่น่าสนใจมาก เหมาะกับการเอาไว้เช็คตัวเองเป็นระยะ ๆ
สิ่งที่เราใช้เวลากับมันวันละ 8 ชั่วโมง...ยังใช่อยู่หรือเปล่า?
3.
"ใครที่คิดว่าธุรกิจต้องอยู่เพื่อกำไรเท่านั้น ผมอยากให้คิดเสียใหม่ว่า ธุรกิจไม่ได้อยู่เพื่อกำไรเท่านั้น เพียงแต่แค่ต้องทำกำไรเพื่อให้อยู่ได้ หลังจากนั้นธุรกิจต้องอยู่เพื่อจุดประสงค์ที่สูงส่งกว่านั้น" คนที่กล่าวประโยคนี้ไว้คือท่านเซอร์ "ริชาร์ด แบรนสัน" เจ้าของกลุ่มธุรกิจ Virgin เขาคือผู้ประกอบการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลก ...และเขาทำแบบที่พูดได้จริง ๆ
ผมเห็นด้วยแบบไม่มีข้อโต้แย้ง แม้จะฟังดูขัดกับความคิดคนส่วนใหญ่ มันดูสวยหรูเกินไป ธุรกิจก็ต้องการแค่กำไรสิ จะต้องการอะไรอีก?
เมื่อก่อนผมก็ไม่เข้าใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไป วันนี้เข้าใจมากขึ้นแล้วว่า ถ้าเอาแค่กำไรนำ เราจะไม่มีวันสร้างสิ่งแปลกใหม่ให้กับโลกนี้ได้เลย เพราะเราจะทำธุรกิจแบบปลอดภัยไว้ก่อน มองเห็นแต่ตัวเลข แต่ไม่ได้คิดถึง "คุณค่า" ที่จะมอบให้กับผู้อื่น
เรื่องนี้ไม่ได้ใช้ได้กับแค่คนมีธุรกิจส่วนตัว แต่คนทำงาน คนเป็นลูกจ้าง ก็ควรมีแนวคิดนี้ติดตัวไว้ เพราะเรากำลังอยู่ในสังคมที่เชี่ยวกรากเรื่องการยกย่องความร่ำรวย ...ทั้งที่ความร่ำรวยเป็นแค่ปลายเหตุเท่านั้น ความร่ำรวยนั้นเหมือนความรัก ยิ่งวิ่งตาม ยิ่งวิ่งหนี คนจำนวนมากจึงไม่อาจพบกับความร่ำรวย เพราะเขาไม่เข้าใจว่าเราต้องอยู่เพื่อจุดประสงค์ที่สูงส่งกว่าความร่ำรวย
เมื่อเราหยุดวิ่งตาม เงินจะกลับมาหาเราเอง เมื่อเราตอบได้ว่า "จุดประสงค์ที่สูงส่งกว่านั้น" คือเรื่องอะไร ความร่ำรวยจะเรียกร้องอยากให้เราเป็นเจ้าของมัน
ข่าวร้ายก็คือ บางที "จุดประสงค์ที่สูงส่งกว่านั้น" เราอาจต้องใช้เวลาค้นหานานแสนนาน ...แต่ข่าวดีก็คือ มันคุ้มค่าที่สุดในชีวิต เมื่อเราค้นเจอ ใครหาเจอแล้ว จงเดินทางต่อไป ส่วนใครที่ยังหาไม่เจอ จงค้นหาต่อไป ลอง "บิน" ขึ้นไปดูภาพรวม มองภาพใหญ่ มองให้ยาว ๆ
แล้วอนาคตจะสดใสกว่าการเอาแต่ก้มหน้ามองแค่เดือนต่อเดือน.
Comments