1.
สมมติว่าโลกนี้คือเวทีละคร และพวกเราแต่ละคนต้องรับบทบาทแตกต่างกันไป ทุกครั้งที่เจอคนร้าย ๆ กับเรา ทดลองคิดแบบนี้สิครับ มันอาจไม่ง่าย...แต่น่าสนใจในมุมคิด
คิดแบบที่ 1 ลองนึกถึงตอนเราเด็ก ต้องแสดงละครเวที ทุกคนอยากได้บทคนดีด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครอยากรับบทเป็นคนไม่ดี ดังนั้นคนที่ร้ายกับเรา บังเอิญเขาได้รับบทตัวร้าย อันที่จริงเขาจึงน่าสงสาร มากกว่าที่เราจะโกรธเขา
คิดแบบที่ 2 คนที่ร้ายกับเรา เขาคือผู้เสียสละ เพราะพอได้รับบท ทุกคนก็ต้องแสดงกันไป คนที่ร้ายกับเรา เขาต้องเล่นบททำให้เราไม่ชอบ ทั้งที่เขาเองก็อาจไม่ชอบตัวเองที่ทำแบบนี้ แต่เขาเสียสละให้เราไม่ชอบเขา จึงเป็นเรื่องที่ต้องนับถือ มากกว่าที่เราจะโกรธเขา
คิดแบบที่ 3 จำไว้ว่าเราเป็นตัวเอกของเรื่องนี้ ของเวทีนี้ ถ้าเรารับมือกับคนร้าย ๆ ไม่ได้ ละครเรื่องนี้จะจบลงอย่างสวยงามได้อย่างไร? ละครเรื่องนี้จะสอนใจคนรุ่นหลังได้อย่างไร? คนที่ร้ายกับเรา เขาจึงมาเพื่อทดสอบเรา จึงเป็นเรื่องที่ต้องขอบคุณ มากกว่าที่เราจะโกรธเขา
โอโห...อ่านแล้วโคตรหล่อใช่ไหมครับ? ก็บอกแล้วว่าไม่ง่าย...ผมก็ทำไม่ได้ทุกครั้งหรอก เพียงแต่พอได้คิดมุมนี้บ้าง...ใจก็เย็นลง รู้สึกสงสาร นับถือ และนึกขอบคุณ เพราะเขาคือเพื่อนนักแสดงร่วมเวทีเดียวกับเรา โลกนี้คือเวทีละคร และพวกเราแต่ละคนต้องรับบทบาทแตกต่างกันไป
...ก็เท่านั้นเอง อย่าคิดแค้นอะไรให้มาก
2.
เมตตา จะทำให้เราเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น เขาพูดไม่เข้าหูเรา เราก็เข้าใจ เขาทำไม่ถูกใจเรา เราก็เข้าใจ เขาคิดต่างจากเรา เราก็เข้าใจ เขาทำผิด เขาบกพร่อง เราก็เข้าใจ ...เพราะเขาคือมนุษย์ที่มี-ผิด-ถูก-โง่-ฉลาด ไม่ต่างจากเรา อย่าตำหนิเขานักเลย
เมตตาตัวเอง เมื่อเราทำไม่ถูกใจตัวเอง เมตตาคนอื่น เมื่อเขาทำไม่ถูกใจตัวเรา เมตตาทำให้เราละตัวตนได้ดีขึ้น เมตตาทำให้เราเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น จงมอบความเมตตาให้กับทุกผู้คน (รวมทั้งตัวเราเองด้วย)
ในตัวเขา มีอะไรที่เราชอบบ้าง? ในตัวเขา มีอะไรที่เราไม่ชอบบ้าง? สองมุมมองนี้ทำให้เรารู้สึกกับคนเดียวกัน...ต่างออกไป เพียงแต่ข่าวร้ายก็คือ คนจำนวนหนึ่งเลือกมุมมองอย่างหลัง (ในตัวเขา มีอะไรที่เราไม่ชอบบ้าง?)
ทั้งที่มุมมองแรก (ในตัวเขา มีอะไรที่เราชอบบ้าง?) มีความสุขกว่าตั้งเยอะ
3.
มีอยู่ 3 สิ่งซึ่งต้องมีไว้ให้มากสำหรับคนยุคนี้
หนึ่ง คือ สติ ยุคนี้มีหลายสิ่งทำให้เราหลุดไหลเข้าไป จากนั้นก็ใช้สมองแบบ autopilot เหมือนคิด แต่ไม่ได้คิด สั่งการแบบอัตโนมัติ ไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ ตัวอยู่ตรงนี้ ใจอยู่ตรงไหนไม่รู้เลย การระลึกนึกขึ้นได้บ่อย ๆ ว่า "ฉันกำลังทำอะไรอยู่?" จึงสำคัญมากสำหรับยุคนี้
สอง คือ อภัย เมื่อไม่มีสติ ก็ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ผู้คนเดี๋ยวนี้จึงห่างเหินกันมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อไม่รู้จักกัน นิดหน่อยจึงเป็นเรื่องขึ้นมา โกรธง่าย เพราะเอาแต่นึกถึงแต่ตัวเอง โกรธง่าย เพราะเปราะบาง แตะนิดนึงก็ช้ำ เมื่อไม่รู้จักกันและช้ำง่าย จึงอยากเอาคืน การระลึกนึกขึ้นได้ว่า "เรื่องนี้ให้อภัยได้" จึงจำเป็นมากสำหรับยุคนี้
สาม คือ เชื่อมโยง สังคมยุคใหม่จับผู้คนตัดขาดจากกัน มองไม่ออกว่าเราเชื่อมโยงกันอย่างไร บางอย่างที่เราทำ ส่งผลกับคนอื่นอย่างไร เรามองไม่ออกเลย เมื่อไม่เห็น จึงต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างทำ(ลาย) ความแย่ก็คือ สังคมยุคใหม่จับคนตัดขาดจากกัน แต่ social media จับเราเชื่อมเข้าด้วยกัน จึงกระทบกระทั่งกันมากขึ้นเรื่อย ๆ การระลึกนึกขึ้นได้ว่า "เราทั้งผองพี่น้องกัน มาจากดินเดียวกัน กลับสู่ดินเดียวกัน" จึงเป็นเรื่องจำเป็นมากสำหรับยุคนี้
มีสติ ให้อภัย เชื่อมโยงกับผู้อื่น จึงเป็นเรื่องที่ต้องมีไว้ให้มาก...สำหรับคนยุคนี้
แล้วเราจะอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข.
Comments