1.
"ในชีวิตคนเราจะมี 10 ปีสักกี่ครั้ง?” เป็นประโยคจากนิยายเรื่องหนึ่งของ "โก้วเล้ง" ซึ่งติดอยู่ในใจผมมานาน และทำให้ผมได้ย้อนกลับไปมองช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เหมือนได้มองกระจกหลัง ในวันที่รถยนต์ชีวิตกำลังบึ่งไปข้างหน้า ผมพบว่ามันเป็น 10 ปีที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดในชีวิต เป็นช่วงเวลาที่ชีวิตจับผมขึ้นรถไฟเหาะตีลังกา เป็นช่วงเวลาที่มีทั้งรอยยิ้มและน้ำตา จนที่สุด รวยที่สุด ทุกข์ที่สุด สุขที่สุด ร้องไห้หนักมากที่สุด หัวเราะหนักมากที่สุด ...เป็นช่วงเวลาแห่งการ "ไล่ล่าความสำเร็จ" อย่างแท้จริง
ถ้าจะถามว่าอะไรคือ "จุดเปลี่ยน" ที่หักมุมเลี้ยวที่สุด? คำถามนี้ช่างตอบยากเสียเหลือเกิน เพราะชีวิตผมแทบไม่เคยมีทางตรง มีแต่โค้งหักศอก ..แม้จุดเล็ก ๆ ของชีวิต ก็ไม่อาจยกมันออกได้
เพราะหากไม่มีจุดนั้น มันก็อาจเปลี่ยนแปลงเรื่องราวที่เหลือทั้งหมด
2.
จุดไหนกันเล่าที่เปลี่ยนชีวิตผม? มันอาจเป็นการวิ่งหนีเทศกิจ ในวันที่ผมนั่งขายของแบกะดินกลางสีลม มันอาจเป็นการที่ญาติปิดบ้านหนี ในวันที่ผมเอาเครื่องกรองน้ำไปเสนอขาย มันอาจเป็นน้ำตาหยดนั้นบนรถเมล์สาย 54 ในวันที่ผมหาทางออกให้ชีวิตไม่ได้ ...หรือมันอาจเป็นความเกลียดตัวเอง ในวันที่ผมเห็นเพื่อนที่เรียนไม่เก่งเท่าเรา แต่วันนี้กลับมีชีวิตที่ดีกว่า
มันอาจเป็นวันที่ผมตัดสินใจทิ้งอาชีพเดิม ไปเริ่มอาชีพใหม่ มันอาจเป็นวันที่ผมได้รับโอกาสให้เป็นนักเขียน ทั้งที่ยังไม่รู้จะเขียนอะไร มันอาจเป็นวันที่ผมกล้าขึ้นไปพูดบนเวทีครั้งแรก ทั้งที่โคตรกลัวสุดใจ ...หรือมันอาจเป็นวันที่ผมจัดสัมมนาครั้งใหญ่ระดับสองพันคน ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าจะมีคนสนใจซื้อบัตรหรือไม่?
มันอาจเป็นการแต่งงานของผมกับคนรัก ที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่อนุบาล มันอาจเป็นการมีเจ้าตัวน้อย ๆ ที่อนุญาตให้ผมได้เป็นพ่อคน มันอาจเป็นการทะเลาะกัน ในวันที่ความรักเกือบเดินมาถึงทางแยก หรือมันอาจเป็นกอดอันอบอุ่นในวันนี้ ที่เราพ่อ-แม่-ลูก ยังคงมีให้กัน ...จุดไหนเล่าที่เปลี่ยนชีวิตเรา? มันอาจเป็นจุดไหนก็ได้ทั้งนั้น
ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ผมได้บทเรียนมามากมายในชีวิต ส่วนใหญ่ได้จากความล้มเหลว ไม่ใช่จากความสำเร็จ แต่ถ้าจะต้องเลือกเพียงหนึ่งบทเรียนที่ทรงคุณค่าที่สุด ผมขอเลือกบทเรียนนี้ที่บอกว่า
“ไม่มีการตัดสินใจที่ผิด ถ้าเรารับผิดชอบผลของการตัดสินใจนั้น"
3.
ในหนังสือ The Ultimate Secrets of Total Self-Confidence ของดอกเตอร์ Robert Anthony (ไม่มีแปลไทย แต่ผมเคยเล่าไว้อย่างละเอียดในคอร์ส Food for Thought) เขียนประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจเอาไว้ว่า...ทุกการตัดสินใจของเรานั้น เราตัดสินใจดีที่สุดแล้ว ในขณะที่ตัดสินใจ เราคิดใคร่ครวญดีที่สุดในสถานการณ์นั้นแล้ว ต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ ด้วยข้อมูล ด้วยประสบการณ์เท่าที่มีตอนนั้น เราก็จะตัดสินใจแบบเดิมอยู่ดี
เพราะฉะนั้นจึงอย่ามัวจมอยู่กับผลของการตัดสินใจนั้น เราทำดีที่สุด ณ ตอนนั้น ณ เวลานั้นแล้ว ถ้าผลของการตัดสินใจนั้นดี ก็ดีแล้ว ถ้าผลของการตัดสินใจนั้น เหมือนจะไม่ดี ก็ให้แก้ไข ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แล้วพึงระลึกไว้ในใจเสมอว่า “สิ่งที่ดูเหมือนไม่ดีสิ่งนี้ ที่ทำให้เราพลาดสิ่งดี ๆ ไป กำลังนำพาเราไปสู่สิ่งที่ดีกว่านี้อีก”
ทุกวันนี้ผมจึงยังไม่ลืมที่จะขอบคุณเทศกิจที่วิ่งไล่ ญาติที่ปิดประตูบ้านหนี เพื่อนที่มีชีวิตดีกว่า และน้ำตาหยดนั้นบนรถเมล์สาย 54 ถ้าไม่มีเรื่องราวเหล่านี้ ผมคงไม่มีวันนี้
4.
จุดไหนกันเล่าที่เปลี่ยนชีวิตเรา? มันอาจเป็นจุดไหนก็ได้ทั้งนั้น หน้าที่เดียวของเราก็คือ มุ่งหน้าต่อไป ด้วยความเชื่อที่ว่า “คนอย่างเราไม่ได้เกิดมาเพื่อพ่ายแพ้" นั่นคือความรู้สึกของผมเวลามองกระจกแล้วเห็นตัวเองอยู่ในนั้น ถ้าเราไม่ล้มเลิกเสียก่อน อย่างไรเสีย เราในวันนี้ ก็ต้องดีกว่าเมื่อวาน และเราในวันพรุ่งนี้ ก็ต้องดีกว่าเราในวันนี้
ทุกครั้งที่เจอปัญหา เหมือนไม่มีทางไปต่อ ขอให้จำไว้ว่ามันไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้น ที่จะพาเราไปสู่สิ่งที่ดีกว่า
แต่จุดไหนกันเล่าที่จะเปลี่ยนชีวิตเรา? มันอาจเป็นจุดไหนก็ได้ทั้งนั้นครับ.
Comments