1.
มีอยู่วันหนึ่ง ลูกสาวผมเกิดคึกอะไรขึ้นมาไม่รู้ จู่ ๆ ก็อยากหัดเล่นกีตาร์ มาอ้อนให้ผมสอนใหญ่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเธอขอให้ผมสอนกีตาร์ พอหายคึก ก็เลิกเล่น พอคึกใหม่ ก็มาให้สอนอีก
คืนหนึ่ง ตอนส่งพวกเธอเข้านอน แทนที่จะเล่านิทานเหมือนอย่างที่เคยทำ ผมจึงเล่าตำนานหัดเล่นกีตาร์ของผมให้ฟังแทน เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ...
เรื่องมันเริ่มจากกีตาร์ตัวละ 500 บาท ผมขอให้แม่ยืมกีตาร์จากคนรู้จักให้หน่อย ตอนนั้นตั้งสายก็ตั้งไม่เป็น ต้องให้พี่ข้างบ้านช่วยตั้งให้ แปลว่าถ้าพี่เขาไม่อยู่บ้าน ผมก็ดีดมันไปทั้งที่สายเพี้ยนนั่นแหละ
วันทั้งวันผมเอาหนังสือเพลงมาจับคอร์ดงู ๆ ปลา ๆ เจ็บนิ้วมากจนอยากเลิก ไม่เอาแล้ว แต่พอเริ่มดีดเพลง "อยากให้รู้ใจ" ของวงเรนโบว์ได้ ก็ดีใจใหญ่ คิดคึกไปว่ามือกีตาร์เทพถือกำเนิดแล้ว ยิ่งจับคอร์ด F ได้ ยิ่งคล้ายกับสวรรค์เปิดต้อนรับมือกีตาร์คนนี้แล้ว
จากนั้นผมก็ฝึกเล่นกีตาร์ทุกวัน เป็นเวลาหลายปี ...ผมไม่เจ็บนิ้วอีกแล้ว
2.
พอเข้ามหาวิทยาลัย ผมเรียนวิศวะ จุฬาฯ แต่ "ชมรมดนตรี" คือที่หมายในใจผม ผมสมัครเข้าชมรมดนตรีของหอพักนิสิตจุฬา ทั้งที่เล่นกีตาร์ได้แบบถูไถ กีตาร์ไฟฟ้าก็ไม่มีเป็นของตัวเอง ลองอ้อนแม่ให้ซื้อก็คงไม่สำเร็จ เพราะแม่ไม่อยากให้ผมมายุ่งเกี่ยวกับวงการนี้ อาจเพราะเห็นญาติผมไม่เรียนหนังสือต่อ แต่กลับไปเป็นนักดนตรีอาชีพ เล่นกลางคืน ...ญาติผมคนนี้ ปัจจุบันทุกท่านน่าจะรู้จัก เขาคือพี่กบ วง TAXI นั่นเอง
สุดท้ายผมสอนพิเศษ เก็บเงินซื้อกีตาร์ไฟฟ้าเอง กำเงิน 7,000 บาทไปซื้อที่เวิ้งนครเกษม ได้กีตาร์ยี่ห้ออะไรไม่รู้มาตัวนึง ทรงมันเหมือนเฟนเดอร์สตราโตคาสเตอร์ จากนั้นผมก็ดำดิ่งสู่โลกของการเล่นกีตาร์ อยู่กับดนตรีแทบจะตลอดเวลา (แต่ไม่ได้เล่นเก่งนะครับ แค่ชอบเล่นเท่านั้น)
เล่นไปสักพัก คิดการใหญ่ รวมวงประกวดวงดนตรี ด้วยผีมือระดับมวยวัด จึงตกรอบแรกทุกครั้ง แต่นั่นก็ทำให้รู้ว่า ผมพอจะแต่งเพลงได้
ในเวลาต่อมา ผมอกหัก อยากหาที่ระบาย สุดท้ายกลายมาเป็นเพลงที่แต่งเอง ร้องเอง ผมส่งเดโมเพลงที่อัดในห้องน้ำไปที่ค่ายเพลงแกรมมี่ โดยไม่รู้จักใครสักนิด ลองเสี่ยงดูก็แล้วกัน
หลายเดือนต่อมา ผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำ ...ปรากฏว่าแกรมมี่ติดต่อมาทางเพจเจอร์ บอกว่าสนใจให้ผมเข้าไปคุยกันหน่อย ...คุณมีแววจะเป็นนักแต่งเพลงได้
เมื่อได้รับการตอบรับจากแกรมมี่ ผมใช้เวลาฝึกฝนแต่งเพลงอยู่เกือบปี จนได้เป็นนักแต่งเพลงทีมใหญ่ของแกรมมี่ ได้อยู่ทีมเดียวกับนักแต่งเพลงระดับตำนาน ไม่ว่าจะเป็น พี่ดี้ นิติพงษ์ พี่นิ่ม สีฟ้า พี่แว่น จักราวุธ พี่สุรักษ์ และอีกมาก
แม้วันนี้ผมจะไม่ได้เป็นนักแต่งเพลงอีกแล้ว แต่อาชีพนี้ก็พาให้ผมได้เป็นอีกหลายอาชีพ บรรณาธิการ นักเขียน นักพูด วิทยากร
...ไม่คิดเลยว่ากีตาร์ 500 บาทตัวนั้นจะพาผมมาได้ไกลถึงขนาดนี้
3.
พอเล่าเรื่องนี้จบ ก่อนที่ลูกจะหลับ ผมพูดบางอย่างให้ลูกฟัง โดยหวังว่าจะซึมลึกเข้าไปในจิตใต้สำนึกพวกเธอ ผมบอกกับลูกสาวทั้งสองคนแบบนี้ครับ
"ที่ป๊าเล่าเรื่องนี้ก็เพื่ออยากจะบอกหนูว่าอย่าเป็นคนที่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ คิดดูสิถ้าวันนั้นป๊าเจ็บนิ้วแล้วเลิกเล่นกีตาร์ไป ป๊าก็คงไม่ได้ตั้งวงดนตรี คงไม่ได้ประกวดดนตรี คงไม่ได้รู้ว่าตัวเองแต่งเพลงได้ แล้วก็คงไม่ได้ส่งเพลงไปให้แกรมมี่ แล้วชีวิตป๊าก็คงเปลี่ยนไปทั้งหมด ป๊าคงต้องทำงานวิศวะที่ป๊าไม่ชอบสักเท่าไร แล้วบางทีป๊าอาจจะไม่ได้เจอกับแม่ของพวกหนู เพราะชีวิตจะผิดเพี้ยนไปหมด ...ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น พวกหนูก็จะไม่ได้เกิดมา และป๊าก็จะไม่ได้พบกับลูกสาวที่น่ารักทั้งสองคน"
คืนนั้นผมทิ้งท้ายประโยคนึงไว้ให้ลูกสาว ก่อนจะจูบราตรีสวัสดิ์
"อย่าเป็นคนยอมแพ้อะไรง่าย ๆ นะลูก เพราะเราไม่รู้หรอกว่าการยอมแพ้ครั้งไหนที่จะเปลี่ยนชีวิตเราไปตลอดกาล"
...ผมปิดไฟ ห่มผ้าให้ลูกสาว เดินออกจากห้อง แต่ประโยคสุดท้ายที่พูดให้ลูกฟังยังวนเวียนอยู่จนถึงนาทีนี้ ...ผมคิดว่ามันใช้ได้กับอีกหลายเรื่องในชีวิต
"อย่าเป็นคนยอมแพ้อะไรง่าย ๆ เพราะเราไม่รู้หรอกว่า การยอมแพ้ครั้งไหนที่จะเปลี่ยนชีวิตเราไปตลอดกาล"
อย่ายอมแพ้ง่าย ๆ นะครับ.
Comentarios