1.
"If you're like most people, you're capable of so much more than you've imagined for your life." แปลเป็นไทยว่า "ถ้าคุณเป็นเหมือนคนส่วนใหญ่ คุณก็มีความสามารถเกินกว่าที่จะจินตนาการได้" ประโยคนี้เป็นของ Carmine Gallo ผู้เขียน Talk like TED หนังสือที่ว่าด้วยวิธีการพูดต่อหน้าสาธารณะ เขาเขียนไว้ในหน้าท้าย ๆ ของหนังสือด้วยซ้ำ แต่ประโยคดังกล่าวกลับโดนใจผมสุด ๆ ทั้งที่ไม่เกี่ยวกับเทคนิคการพูด

เป็นเรื่องจริงที่คนเราเป็นอะไรได้มากกว่าที่คิด แต่มักถูกคนรอบข้างบอกว่าเราเป็นอะไรได้ เป็นอะไรไม่ได้ ...ซึ่งนั่นยังไม่เลวร้ายเท่ากับตัวเราเองนี่แหละ ที่ดันเชื่อคนอื่น และบอกย้ำตัวเองว่าฉันเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ไม่ได้ ...สุดท้ายเราก็เลยเชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ
ผมในวันนี้ มองย้อนกลับไปหาตัวเองในวันก่อน รู้สึกโชคดีที่ไม่ด่วนตัดสินตัวเองว่าฉันทำไม่ได้แน่ ๆ เพราะคิดอย่างเดียวว่า "เราอาจจะประเมินตัวเองต่ำไปก็ได้" ใครจะรู้...เราอาจเป็นได้มากกว่าที่คิด
จึงอยากฝากให้กับคนที่คิดว่าชีวิตตัวเองไม่น่าตื่นเต้น คนอย่างฉันได้เท่านี้แหละ เพราะบางทีิอาจเป็นเพราะเราใช้ชีวิตซ้ำซากเกินไป มีข้อจำกัดที่ผูกรัดเกินไป แล้วพร่ำบอกตัวเองว่า "ฉันทำไม่ได้หรอก" ซึ่งส่วนใหญ่คนที่พูดแบบนี้ ไม่ใช่ทำไม่ได้ ...แต่เขาไม่ได้ทำต่างหาก
ลองให้โอกาสกับตัวเองในสิ่งใหม่ โลกใบนี้ใหญ่กว่าที่เห็น และเราก็เป็นได้มากกว่าที่คิด
...เพียงแต่มันต้องใช้การลงมือทำ ไม่ใช่นั่งมโน สร้างกำลังใจไปวัน ๆ
2.
คนจำนวนมากเฝ้ารอให้ "ดีที่สุด" ก่อน แล้วจึงค่อยลงมือทำ สุดท้ายก็เลยไม่เคยได้ลงมือทำ น่าเสียดายยิ่งนัก เพราะถ้าเพียงแต่เขาจะรู้ว่าไม่จำเป็นต้อง "ดีที่สุด" แต่แค่ "ดีพอ" นั่นก็ควรค่าแก่การลงมือทำแล้ว เพราะเคล็ดลับของความสำเร็จก็คือ "การลงมือด้วยความสม่ำเสมอ" ปรับแก้จากสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันให้ดีขึ้น
จุดต่างของมือสมัครเล่นกับมืออาชีพ ก็คือ มือสมัครเฝ้ารอคอยงานชิ้นมาสเตอร์พีซ ถ้าไม่เจ๋งสุด ๆ เขาจะไม่มีวันขยับเขยื้อนเคลื่อนตัว เราจึงไม่ค่อยได้เห็นผลงานของมือสมัครเล่น แต่มืออาชีพนั้นจะลงมือทำทุกวันจนอยู่มือ ดีมากบ้าง ดีน้อยบ้าง แต่ทุกชิ้นงานล้วนได้มาตรฐาน ที่มืออาชีพทำแบบนี้ ก็เพราะเขารู้ดีว่า ถ้าปล่อยออกไปหลาย ๆ หมัด มันต้องโดนเต็ม ๆ สักหมัดแหละน่า ...แล้วผู้คนก็จะจดจำหมัดนั้นไปตลอดกาล
เมื่ออยากเก่ง อยากดีขึ้น จึงอย่ารอให้พร้อม อย่ารอให้สมบูรณ์แบบ ถ้าคิดว่า "ดีพอ" มันก็จะ "พอดี" ทำไป ปรับแก้ไป แล้วมันจะค่อย ๆ ดีขึ้นเอง
สำคัญคือ ต้องลงมือทำ อย่ามัวเงื้อง่าราคาแพงอยู่เลย เพราะการไม่ลงมือทำนั้น...ราคามันแพงจริง ๆ
3.
อย่าดูถูกความสำเร็จของคนอื่น ด้วยการบอกว่าเขาโชคดี ก็เลยประสบความสำเร็จ แต่ลองขอเขาดูแผ่นหลังสิ ว่ามีกี่รอยแผล ลองขอเขาดูรองเท้าสิ ว่าพื้นสึกไปแล้วกี่มากน้อย ลองถามเขาดูสิ กี่เมคอัพที่ใช้กลบรอยน้ำตา แล้วจะรู้ว่าไม่ใช่แค่โชคดี ที่พาให้เขาถึงจุดนี้ ...แต่คือความพยายามต่างหาก
อย่าดูถูกความสำเร็จของคนอื่น ด้วยการบอกว่าเขาแค่โชคดี เพราะทุกความสำเร็จ ล้วนใช้ความล้มเหลวเป็นขั้นบันได ใช้ความเพียรพยายามก้าวลุกขึ้นมาใหม่ ความสำเร็จไม่เคยมีทางลัด เพราะไม่มีแม้แต่ทางให้เดินในทีแรกด้วยซ้ำ ต้องหักร้างถางพง สร้างเส้นทางขึ้นเอง จนเกิดเป็นถนนให้คนเดินตาม
อย่าดูถูกความสำเร็จของคนอื่น ด้วยการบอกว่าเขาแค่โชคดี จริงอยู่ โชคดีอาจใช่ในลิขิตฟ้า แต่มานะตนต่างหาก ที่พาให้เขามาถึงจุดนี้ ความสำเร็จไม่เคยได้มาง่าย ๆ ที่เราเห็นว่าง่าย เพราะเห็นตอนที่เขาประสบความสำเร็จแล้ว ที่เห็นเขาสบาย เพราะเขาได้ทำเรื่องยากลำบากมาหมดแล้ว แต่ตอนที่เขาบากบั่นฟันฝ่า ตอนนั้นเราไม่เห็น
จึงอย่าอยากได้แค่ผลลัพธ์ของเขา ให้ดูที่เหตุว่าเขาทำอะไรมาบ้าง แล้วเราพร้อมทุ่มเทความพยายามเหมือนอย่างคนเหล่านี้แล้วหรือยัง?
ทุกวันนี้เราทุ่มเทความพยายามให้กับเรื่องอะไรในชีวิตบ้าง? เรื่องนั้นใช่เรื่องสำคัญในชีวิตหรือไม่? ลองถามตัวเองดูครับ.
Comentarios