1.
มีภาษาอังกฤษอยู่คำหนึ่งที่ผมชอบมาก นั่นคือคำว่า Abundance แปลว่า ความอุดมสมบูรณ์ หรือแปลให้ชัด ๆ กว่านั้นก็คือ "มีเหลือเฟือ" คำนี้ตรงข้ามกับคำว่า ขาดแคลน หรือ Scarcity
แต่เอาล่ะ...ก่อนจะกลายเป็นคอลัมน์สอนภาษาอังกฤษไปมากกว่านี้ คำถามที่ผมอยากจะให้คุณลองถามตัวเองก็คือ คุณคิดว่าคุณนั้น "รู้สึก" ขาดแคลน หรือ เหลือเฟือ? ย้ำอีกที ผมถามว่าคุณ "รู้สึก" ขาดแคลน หรือ เหลือเฟือ? ไม่ได้ถามว่าคุณ "มี" เหลือเฟือหรือเปล่า เพราะคนที่มีเหลือเฟือ อาจยังรู้สึกขาดแคลนก็ได้ ในขณะที่คนซึ่งดูเหมือนขาดแคลน อาจรู้สึกมีเหลือเฟือก็ได้
คำถามนี้สำคัญแค่ไหน? คำตอบก็คือ โลกนี้ไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไหร่ (หรืออาจจะยุติธรรมก็ได้ แล้วแต่จะมอง) เพราะใครก็ตามที่รู้สึกมีเหลือเฟือ ก็จะยิ่งมีมากขึ้นยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก
แต่ใครก็ตามรู้สึกขาดแคลน ก็จะยิ่งขาดแคลนลงไปอีกเรื่อย ๆ
2.
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเรานั้น "รู้สึก" ขาดแคลนหรือเหลือเฟือ? ต่อไปนี้คือบางข้อสังเกต
ถ้าคุณชอบแต่ของฟรี แต่ไม่เคยมอบของให้ใครฟรี ๆ (เสียดาย) / ถ้าคุณเอาแต่บ่นว่าของแพง ว่าแล้วก็เลือกซื้อแต่ของถูกที่สุด ทั้งที่ไม่ค่อยชอบเลย / ถ้าคุณเอาแต่กลัวเพื่อนร่วมงานจะแซงหน้า กลัวคู่แข่งจะแย่งลูกค้าไป / ถ้าคุณมีความรู้เจ๋ง ๆ แต่ไม่อยากบอกใคร เพราะกลัวคนอื่นจะรู้เคล็ดลับ / ถ้าคุณสร้างความสุขให้ตัวเองไม่ได้ ต้องใช้สิ่งของหรือคนอื่นมาเติมความสุขให้ / ถ้าคุณเป็นทุกข์ เฝ้ารอให้วันดี ๆ มาถึง และเมื่อวันดี ๆ มาถึง คุณก็เป็นทุกข์อีก เพราะกังวลว่าจะเสียวันดี ๆ ไป
ถ้าเป็นคล้าย ๆ แบบนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าคุณกำลัง "รู้สึก" ขาดแคลน คุณกำลังกลัวว่ามันจะหมด ตุนไว้ก่อน เก็บงำ ไม่แบ่งปัน กลัวหมด กลัวจะเสียมันไป เมื่อเป็นแบบนี้ ข้างในจึงช่างกลวงเปล่าเหลือเกิน...เมื่อไม่มี จึงยิ่งไม่มีเข้าไปอีก
แล้วถ้าเป็นแบบนี้ จะแก้ไขอย่างไรไม่ให้รู้สึกขาดแคลน? คำตอบนั้นแสนธรรมดา แต่ลึกซึ้ง นั่นคือ เราต้องเริ่มเป็น "ผู้ให้" เมื่อให้ไปเรื่อย ๆ เราจะเข้าใจมากขึ้นว่า "ยิ่งให้ ยิ่งไม่หมด" มันเหมือนเราเจอตาน้ำ น้ำค่อย ๆ ผุดออกมาเรื่อย ๆ ยิ่งตักน้ำแจกผู้อื่น น้ำยิ่งล้นออกมาอีก
เมื่อนั้นเอง เราจะเริ่มสัมผัสได้ถึงความรู้สึก "เหลือเฟือ" หรือ Abundance
เมื่อมี จะยิ่งมีเพิ่มขึ้นไปอีก
3.
บางคนถามว่า ก็ในเมื่อตอนนี้ฉันไม่มีเหลือเฟือ ตัวเองยังเอาตัวเองไม่รอด แล้วจะเอาอะไรไปให้คนอื่น? คำตอบนั้นง่ายมากครับ เราสามารถมอบบางอย่างให้กับผู้อื่นได้ โดยไม่ต้องใช้เงินสักบาท ต่อไปนี้คือบางตัวอย่าง
เจอเพื่อนร่วมงานในตึกเดียวกัน ก็ยิ้มให้ / เจอคนกำลังเข็นรถในที่จอดรถ ก็ช่วยเขาเข็น / มีสิ่งของเหลือใช้ในบ้าน ก็นำไปบริจาค / มีความรู้ดี ๆ ก็นำมาแบ่งปันในโซเชียลมีเดีย / มีประสบการณ์เจ๋ง ๆ ก็นำมาสอนให้คนรุ่นหลัง / แบ่งวันว่างมาทำงานอาสาสมัครเพื่อสังคม
หรือจะทำให้กับตัวเองบ้าง ก็อย่างเช่น ซื้อของดี ๆ ที่ตัวเองชอบบ้าง / ไปเที่ยวในที่ที่ไม่เคยไป รู้จักคนที่มีรูปแบบชีวิตแตกต่างจากเรา / อยู่กับปัจจุบัน ไม่เสียใจกับอดีต ไม่กังวลกับอนาคต
เพียงเท่านี้เราก็จะเริ่มกลายเป็นคนที่รู้สึกถึงความเหลือเฟือ เผื่อแผ่ให้ตัวเองและผู้อื่น เมื่อความเหลือเฟือเกิดขึ้นจากโลกภายใน โลกภายนอกจะค่อย ๆ ปรับตัวให้ความเหลือเฟือเทียบเท่ากับโลกภายใน เรื่องนี้ไม่ใช่ทฤษฎี แต่ผลลัพธ์นั้นเคยเกิดขึ้นกับผมมานานแล้ว และมั่นใจว่าไม่ใช่ผมคนเดียว มีคนมากมายที่เข้าใจเรื่องนี้ ปรับเปลี่ยนตัวเอง จนเกิดผลลัพธ์ ...และผมหวังว่าคุณจะเป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน
"เมื่อไม่มี จึงไม่มียิ่งขึ้นไปอีก เมื่อมี จะยิ่งมีเพิ่มขึ้นไปอีก" ฟังเหมือนโลกไม่ยุติธรรมในคำพูดนี้ แต่จริง ๆ แล้วยุติธรรมมาก เพราะกฎข้อนี้ เป็นจริงเสมอกับทุกคนที่เข้าใจและทำตาม
ถ้าเชื่อ ก็ลองทำดู ...ถ้าไม่เชื่อ ยิ่งต้องลองทำดูครับ.
Comments