1.
อยากก้าวหน้าในชีวิต อย่าถามตัวเองว่า "สิ่งนี้ที่ฉันจะทำ มันยากมั้ย?" แต่ให้ถามตัวเองว่า "สิ่งนี้ที่ฉันจะทำ มันคุ้มมั้ย?" เพราะเราไม่ได้เกิดทำแต่เรื่องง่าย ๆ แต่เรามีชีวิตไว้เพื่อทำสิ่งที่คุ้มค่า...แม้ว่ามันจะยากก็ตาม
ถ้ามันยาก แต่คุ้ม จงทำ ถ้ามันง่าย แต่ไม่คุ้ม ...ก็อย่าไปทำมันเลย
2.
เมื่อก่อนฟังก์ชั่นมือถือ อย่างเช่น เล่นเกม ถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ เหล่านี้คือสุดยอดของความตื่นเต้น แต่เดี๋ยวนี้เป็นเรื่องธรรมดา มือถือไม่กี่พันบาทก็ทำสิ่งที่ว่านี้ได้ทั้งหมด ...คิดไปก็คล้ายคน เมื่อก่อนปริญญาตรีคือความหรู แต่เดี๋ยวนี้ดูสิดู ปริญญาโทเดินชนกันเต็มไปหมด
ขนาดโทรศัพท์มือถือยังต้องถีบตัวเอง หาจุดต่าง เพื่อสร้างจุดขาย ใครคนไหนยังทำตัวธรรมดา ๆ คุณสมบัติงั้น ๆ หาได้ทั่วไป ไม่มีความสามารถพิเศษเลย ค่าตัวก็จะตกลงเรื่อย เพราะตกรุ่น
ที่โชคร้ายก็คือ มือถือตกรุ่นบางอันก็ยังคลาสสิก เช่น โนเกีย 3310 แต่ "คนตกรุ่น" ไม่น่าจะมีใครบอกว่าคลาสสิก
จะซื้อมือถือแต่ละที ยังถามนั่นถามนี่ ฟังก์ชั่นนั้นนี้มีมั้ย? ทำไรได้บ้าง? จะให้เขารับเข้าทำงานทั้งที แต่คุณสมบัติเราน้อย ไม่มีชิ้นดี แบบนั้นมันน่าตีมือมั้ยเล่า?
เกิดเป็นมือถือ ยังพัฒนา เกิดเป็นคน จะไม่พัฒนาตนได้อย่างไร?
3.
คุณกำลังทำร้ายสมองอยู่หรือเปล่า? การทำร้ายสมองไม่ใช่ทุบตีสมอง แต่คือไม่ยอมใช้งานให้สมที่เกิดเป็นสมอง ผมคิดว่า3 ข้อต่อไปนี้คือสิ่งที่ทำร้ายสมองแบบค่อยเป็นค่อยไป รู้ตัวอีกที สมองก็ฝ่อ คิดอะไรไม่ออก หรือไม่ก็ไม่อยากคิดอะไรอีกแล้ว และคนที่ไม่คิดอะไรอีกแล้ว ก็คือคนที่ตายแล้ว เพียงแต่ยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการเท่านั้นเอง
หนึ่ง ทำงานเดิม ซ้ำซาก ใช้ความสามารถเดิม ๆ จนหลับตาทำก็ยังได้
สอง เลือกทำแต่เรื่องง่ายเสมอ ถ้ายาก จะหยุดคิด เปลี่ยนเรื่องทันที
สาม ไม่เคยใส่เรื่องใหม่ให้สมอง ทำแต่ที่สิ่งชอบ ซึ่งซ้ำซาก ไม่ชอบความแตกต่าง
ลองฝึกทักษะใหม่ ๆ ทำเรื่องยากบ้าง คบคนที่แตกต่างจากเรา อ่านดูฟังเรื่องที่เราไม่เคยคิดว่าจะสนใจ สมองจะแตกกอต่อกิ่ง
ไอเดียจะปิ๊งขึ้นมาเองครับ
4.
"อย่าทำงานเพื่อเงิน แต่จงทำงานเพื่องาน แล้วงานจะทำเงินเพื่อเรา" ประโยคนี้ลึกซึ้ง เมื่อก่อนผมไม่เข้าใจ มีที่ไหน อย่าทำงานเพื่อเงิน? ทุกคนก็ทำงานเพื่อเงินทั้งนั้น
กาลต่อมาผมจึงเข้าใจแล้วว่า ถ้าเราใช้เงินนำ ทำอะไรก็ได้ ขอให้ได้เงิน เมื่อนั้นเราจะหลงทางเพราะใช้เงินนำทาง กลายไปทำในสิ่งที่ไม่รัก เพราะหวังว่าเงินจะชดเชยความเจ็บปวดจากการทำงานที่ไม่รักได้
แต่เงินนั้นเป็นสิ่งสมมติ เมื่อวันที่ไม่ค่อยมีเงิน เราจะอยากได้มาก ๆ แต่เมื่อวันที่มีเงินมากแล้ว เรากลับรู้สึกเฉย ๆ เราจะเฝ้าถามตัวเองว่า...แล้วยังไงต่อ?
แต่ถ้าเราทำงานเพื่องาน แปลว่าจิตจดจ่ออยู่กับงาน งานที่เรารัก งานที่เราหลุดไหลเข้าไปอยู่ในงาน ไม่รู้กี่โมงกี่ยาม ไม่ถามว่าเลิกงานเมื่อไหร่ เมื่อนั้นนั่นล่ะ...เราทำงานเพื่องาน
งานที่เราทำจึงดีขึ้นและดีขึ้น และโลกนี้ขาดแคลนคนที่ทำงานดี ผลตอบแทนจึงหลั่งไหลมาหาเราท่วมท้น ทั้งที่เราไม่ได้เอาจิตไปจับเรื่องเงิน แต่โลกจะตอบแทนอย่างสาสม...นั่นคือจุดที่งานทำเงินเพื่อเรา
ที่น่าทึ่งก็คือ ใครก็ตามที่มาถึงจุดนั้นแล้ว เขาจะไม่ได้สนุกกับการใช้เงิน แต่กลับสนุกกับการหาเงิน...ไม่ใช่สิ สนุกกับการทำงานต่างหาก แล้วเงินจะตามมาเอง เงินที่มีอยู่แล้ว จึงยิ่งมีมากขึ้นไปอีก
อย่าทำงานเพื่อเงิน แต่จงทำงานเพื่องาน แล้วงานจะทำเงินเพื่อเรา ...นี่เรื่องจริง
5.
ความเก่งไม่เคยเป็นเรื่องฟลุก ถ้าฟลุกอย่างมากก็เก่งได้แค่ครั้งเดียว แต่ถ้าเก่งได้อย่างยืนระยะ แบบนั้นนั่นเรียกฝีมือ ฝีมือมาจากฝึกหนัก หลายคนทักว่าพรสวรรค์มั้ง? แต่เปล่าเลย ฝึกหนักทั้งนั้น เรียนรู้ทุกอย่าง อ่านเยอะ ดูเยอะ เจอเยอะ เจ็บเยอะ ทั้งหมดนั่นล่ะที่ทำให้คนเก่งนั้นเก่ง
พรสวรรค์มีจริงหรือเปล่า? ตอบว่ามีจริงครับ แต่พรสวรรค์แค่ทำให้เราชอบบางเรื่อง...ชอบอย่างไม่มีสาเหตุ แต่จากนั้นล้วนเป็นเรื่องที่ต้องฝึกหนัก พร "สวรรค์" แค่มาส่งที่ริมถนน จากนั้นเป็นเรื่องของ "คน" ...ที่ต้อง "แสวง" เดินไปถนนเส้นนั้นเอง
ฝึกหนักก็ได้ไปต่อ ฝึกน้อยก็ถอยไปเลย อย่าบ่นว่าสวรรค์ลำเอียง เพราะเรามัน "อ่อน" เองต่างหาก ความเก่งไม่เคยเป็นเรื่องฟลุก อย่าได้สงสัยว่าทำไมคนเก่งจึงเก่ง เพราะคำตอบมีแค่หนึ่งเดียว
เพราะ "เขาฝึกหนัก" นั่นเอง.
Comments