1.
ว่ากันว่าชีวิตคนเราคือการ "ก้าวไปข้างหน้า 2 ก้าว" แล้วตามด้วย "ก้าวถอยหลัง 1 ก้าว" ประโยคนี้หมายความว่า
ไม่มีใครดีในทุกช่วงชีวิต ประเด็นจึงอยู่ที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างไรให้ก้าวใหญ่ที่สุด ใหญ่จนแม้เมื่อก้าวถอยหลัง
แต่โดยภาพรวมแล้วก็ยังก้าวได้ไกลกว่าเดิม
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ผมลองผิดลองถูกมาเยอะ ก้าวไปข้างหน้าบ้าง ถอยหลังบ้าง แต่โชคดีที่ได้เจอคนเก่งมากมาย ได้เจอกับเหล่า "ยักษ์ใหญ่" ยักษ์ใหญ่ที่ไม่ได้หมายถึงคนใจร้ายใจดำ แต่คือคนที่คิดใหญ่ ทำใหญ่ พวกเขาจึงประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่กว่าคนทั่ว ๆ ไป
เซอร์ไอแซค นิวตัน เคยกล่าวไว้ว่า "If I have seen further than others, it is by standing upon the shoulders of giants." แปลเป็นไทยว่า "ที่ข้าพเจ้ามองได้ไกลกว่าผู้อื่น ก็เพราะได้ขึ้นไปยืนอยู่บนไหล่ยักษ์"
ความเปลี่ยนแปลงในชีวิตผม เกิดจากการได้ขึ้นไปยืนมองบนไหล่ยักษ์ คนที่คิดใหญ่ ทำใหญ่ สำเร็จใหญ่ สิ่งที่ผมเห็นบนนั้น ผมนำมาปรับใช้กับตัวเองจนทำให้ชีวิตพัฒนาอย่างก้าวกระโดด
ซึ่งเมื่อมองย้อนกลับไป ชีวิตผมนับว่าก้าวมาไกลมาก
2.
ทั้งหมดไม่ใช่เพราะผมเก่งอะไรเลย ผมเพียงแค่ทำเหตุให้เหมือนที่คนสำเร็จทำกัน ผมทำตัวเองให้มีคุณสมบัติเหมือนเขาเหล่านั้น แล้วจึงได้ผลลัพธ์เหมือนที่คนสำเร็จได้ ...ซึ่งข่าวดีก็คือ ทุกคนก็มีผลลัพธ์แบบเดียวกันนี้ได้ มันไม่ใช่เรื่องโชคชะตาใด ๆ ทั้งสิ้น
และต่อไปนี้คือ 7 ข้อที่ผมคิดว่าสำคัญ เป็นคุณสมบัติที่เราควรฝึกฝนตนเอง เพื่อพาให้เราไปพบกับความสำเร็จ
ข้อ 1 เลิกโทษคนอื่น แล้วเข้ารับผิดชอบชีวิตตัวเอง
ผมได้เรียนรู้ว่า...คนสำเร็จล้วนเคยผ่านความล้มเหลวด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่เขารู้ดีว่า "ความสำเร็จกินความล้มเหลวเป็นอาหาร" เขาจึงไม่ท้อ ไม่โทษใคร
เพราะฉะนั้นจากนี้ให้ตั้งคำถามกับตัวเองเสียใหม่ อย่าถามตัวเองว่า "ทำไมชีวิตฉันมันแย่อย่างนี้?" เพราะยิ่งถามแบบนี้ ยิ่งซ้ำเติมตัวเอง ให้ถามตัวเองใหม่ว่า "ฉันต้องทำอย่างไรบ้างจึงจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้?" การถามแบบนี้ เราจะไม่เฝ้าโทษตัวเองหรือคนอื่น แต่จะมองหาวิธีการเพื่อยกระดับตัวเองขึ้นมา
ชีวิตเดินไปตามคำถามที่เราถามกับตัวเอง เมื่อคำถามดี คำตอบก็ดี แล้วชีวิตก็จะดีตาม
ข้อ 2 เปลี่ยนคนคบ เปลี่ยนเรื่องคุย
ผมได้เรียนรู้ว่า...คนสำเร็จรู้ดีว่า "เราคือค่าเฉลี่ยของคนที่คบ" ดังนั้นจากนี้ ลองตรวจสอบให้ดีว่าในทุกวัน เราใช้เวลาสุงสิงอยู่กับใครบ่อยที่สุด คนคนนี้จะพาเราไปสู่จุดไหนในอนาคต เขาคนนี้ "ให้พลัง" หรือ "ดูดพลัง" จากเรา
เรื่องพวกนี้ไม่เห็นผลระยะสั้น แต่ระยะยาว มีผลกระทบกับชีิวิตแน่ ๆ ไม่จำเป็นต้องถึงกับเลิกคบเพื่อนเก่า แต่ให้เพิ่มเพื่อนใหม่ ๆ เข้ามา บางคนคบไว้เพื่อเฮฮาสนุกสนาน ไม่ได้ผิดอะไร แต่เราควรมีคนที่คบเพื่อความก้าวหน้าของชีวิตด้วย
ข้อ 3 บริหารเวลาและบริหารเงิน
ผมได้เรียนรู้ว่า...คนสำเร็จรู้อยู่เสมอว่า วันนี้มีอะไรต้องทำบ้าง พรุ่งนี้มีอะไรต้องทำบ้าง พวกเขาใช้เวลาได้คุ้มค่ามาก เพราะรู้ว่าเวลามีค่าที่สุดในโลก ถ้าเงินหาย ยังหาใหม่ได้ แต่ถ้าเวลาหาย จะไปหาเอาจากไหน?
คนเรามี 10 ปี แค่ 7-8 ครั้ง ตอนนี้้เราใช้ไปกี่ครั้งแล้ว? จากนี้ ก่อนนอนให้เขียนสิ่งที่ต้องทำในวันพรุ่งนี้ เพื่อที่ตื่นมาจะได้ทำตามแผน และใช้เวลาได้มีประสิทธิภาพที่สุด
ข้อ 4 ทำธุรกิจ อย่างมีศิลปะ ทำศิลปะ อย่างมีธุรกิจ
ผมได้เรียนรู้ว่า...คนสำเร็จนั้น ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไร พวกเขาจะมีความเป็นนักธุรกิจอยู่เสมอ เพราะรู้ว่าโลกทุนนิยมขับเคลื่อนด้วยเงิน ดังนั้นเราต้องไม่เพียงแค่ทำสิ่งที่ชอบเท่านั้น แต่สิ่งที่ชอบทำต้องตอบโจทย์ตลาดด้วยการแก้ปัญหาให้ผู้คน ยิ่งแก้ปัญหาให้ผู้คนจำนวนเยอะเท่าไหร่ ขนาดของความสำเร็จ ก็จะยิ่งใหญ่ตามเท่านั้น
ลองหาเพื่อนสนิท (หลาย ๆ คน) ถามพวกเขาไปว่า "เมื่อพูดถึงฉัน อะไรคือ 3 คุณสมบัติของฉันที่แกนึกถึง" แล้วเราจะเห็นจุดเด่นของตัวเอง ใช้จุดนั้นเป็นจุดตั้งต้นของการทำธุรกิจ ยุคนี้คนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา มีที่ยืน มีที่สร้างรายได้ได้ไม่ยาก เพราะโลกออนไลน์เปิดโอกาสให้เราแล้ว
ข้อ 5 มองไปข้างหน้าเสมอ
ผมได้เรียนรู้ว่า...คนสำเร็จล้วนเป็นนักมองไปข้างหน้าเพื่อให้เห็นเทรนด์ในอนาคต ยุคนี้ผู้ชนะจะยิ่งชนะมากขึ้น ผู้แพ้จะยิ่งแพ้มากขึ้น ห่างชั้นกันไปเรื่อย ๆ เราจึงต้องเป็นท็อปของสายอาชีพให้ได้ เพราะบนท้องฟ้ารถไม่เคยติด เมื่อเป็นชื่อแรก ๆ ที่ผู้คนนึกถึงในวงการงานอาชีพ เมื่อนั้นเราจะแทบไม่ต้องแข่งกับใครอีกเลย
จากนี้ไป ลองถามตัวเองว่า "วันนี้ฉันจะทำอะไรที่แม้แต่ตัวฉันเองในอนาคต ยังต้องนั่งไทม์แมชชีนมาขอบคุณฉันในวันนี้?" หาความรู้ใส่ตัวอยู่เสมอ อย่ารู้เท่าเดิม เพิ่มเติมคือความแก่ ยุคนี้อยู่กับที่เท่ากับถอยหลังครับ
ข้อ 6 ทำทั้งที่กลัว แล้วทุกอย่างจะต่อทางให้เอง
ผมได้เรียนรู้ว่า...คนสำเร็จไม่เคยรอให้พร้อม เพราะพวกเขารู้ว่าคำว่า "พร้อม" ไม่มีอยู่จริง พวกเขาไม่กลัวการก้าวไปข้างหน้า แล้วล้ม แต่กลัวการยืนนิ่งอย่างมั่นคง...แต่อยู่กับที่
จำไว้เสมอว่า มันไม่ใช่ปัญหา แต่มันคือโจทย์ มันคือความท้าทายที่เราต้องเจอ
จากนี้ไป ให้ถามตัวเองว่า ฉันได้เรียนรู้อะไรจากในอดีตบ้าง? บทเรียนนี้ฉันจะใช้ในอนาคตได้อย่างไร? ถ้ายังไม่กล้าก้าวในวันนี้ ฉันจะต้องเจอกับความเจ็บปวดอะไรบ้าง?
จำไว้เสมอว่า ก้าวไปเพราะมีวิสัยทัศน์ เห็นรางวัลที่รออยู่ ย่อมดีกว่าก้าวไปข้างหน้าเพราะเจ็บปวดจากวิกฤตจนแทบทนไม่ไหวแล้ว
ข้อ 7 ตั้งเป้าหมายให้ชีวิต
ผมได้เรียนรู้ว่า...คนสำเร็จรู้ดีว่า มีเป้าหมาย แต่ยังมองไม่เห็นทางไป ยังไม่น่ากลัวเท่ากับไม่มีเป้าหมาย แต่เดิมดุ่มไปเรื่อย ๆ เพราะถ้ามีเป้าหมาย เราจะหาหนทางได้เอง แต่หากไม่มีเป้าหมาย ร้อยพันเส้นทางก็ยิ่งทำสับสน
ที่บางคนไม่ตั้งเป้าหมาย อาจเพราะมีเวลาเยอะเกินไป เราคิดว่าจะอยู่ค้ำฟ้า จึงใช้ชีวิตไปเรื่อยเปื่อย
จากนี้ไป ให้ลองถามตัวเองว่า "ถ้าฉันมีเงินไม่จำกัด แต่มีเวลาในชีวิตจำกัด ฉันอยากทำอะไร?" คำตอบนี้
จะเป็นเบาะแสของเป้าหมายในชีวิต
ลองนำ 7 ข้อคิดที่ผมได้จากการแอบขึ้นไปยืนมองไกลบนไหล่ยักษ์ไปใช้ดูนะครับ ไม่ต้องเห็นด้วยทุกข้อ ไม่ต้องทำได้ทุกเรื่อง ผมเชื่อว่าอย่างน้อย ๆ ชีวิตจะก้าวไปข้างหน้ามากกว่าก้าวถอยหลังอย่างแน่นอน.
Comments