1.
โครงสร้างของบทภาพยนตร์ มักมีสูตรสำเร็จแบ่งเป็น 3 ช่วง ช่วงแรก ตัวละครดำเนินชีวิตไปตามปกติ จนกระทั่งเจอปัญหาบางอย่างให้ต้องแก้ไข จึงเข้าสู่ช่วงที่ 2 ตัวละครต้องจัดการปัญหานี้ให้ได้ ต้องผ่านอุปสรรคมากมาย เพื่อเรียนรู้บางอย่าง และแก้ไขปัญหาได้สำเร็จ จนเข้าสู่ช่วงที่ 3 ชีวิตคลี่คลาย ตัวละครได้รับบทเรียน และจบลงด้วยดีในที่สุด
...จะว่าไป ชีวิตคนเราก็มีโครงเรื่องคล้าย ๆ กับสูตรสำเร็จของบทหนัง นั่นคือ อยู่ดี ๆ ชีวิตก็มีปัญหาเกิดขึ้น ให้ต้องลำบากฝ่าฟัน ให้วิ่งวุ่นจนเหนื่อยหอบ กว่าจะหาคำตอบเจอ แต่เมื่อผ่านพ้นไปได้ เมื่อวันที่ฟ้าสดใส วันนั้นเราก็ได้ชื่นชมความสำเร็จ
แต่ประเด็นก็คือ เราหลายคนชอบลุกออกไปก่อน ตอนหนังยังไม่จบ ตอนบทยังเดินไปไม่ครบ 3 องค์ แล้วก็เอาแต่บ่นว่าหนังชีวิตเรื่องนี้โหดร้ายจริง ๆ
ผมเองก็เคยเกือบลุกออกจากโรงก่อน เพราะคิดว่าหนังชีวิตเราคงจบแล้ว ช่วงนั้นชีวิตแย่มาก ลำบากสุด ๆ ไปทำธุรกิจส่วนตัวก็เจ๊ง เป็นหนี้บัตรเครดิต กลุ้มใจกับค่าเทอมลูก อาชีพที่รักก็ล่มสลาย ทะเลาะกับที่บ้าน ไม่มีเวลาให้ลูก
สุขภาพย่ำแย่ เวลานอนแทบไม่มี
หนังชีวิตของผมในตอนนั้นโคตรโหด จัดเต็มจนผมเกือบยอมแพ้ คิดว่าคงต้องไปขายก๋วยเตี๋ยวรถเข็น ให้ลูกเรียนโรงเรียนค่าเทอมถูก ๆ ...ต่อไปนี้คงต้องอยู่แบบเจียมตัว
โชคดีที่ผมยังแข็งใจ ทนดูไปอีกนิด อยากรู้ว่าหนังชีวิตจะจบอย่างไร?
และแล้วก็เหมือนที่ใครสักคนบอกไว้ว่า ในคืนที่ฟ้ามืดมิด เราจะเห็นดาวชัดเจน ...แล้วผมก็ผ่านมันมาจนได้ ไม่ได้มีคาถาวิเศษใด ๆ ครับ นอกจากอดทน ฝึกฝน ตั้งใจทำงาน หาความรู้เพิ่ม เชื่อมั่นว่ามีสิ่งดี ๆ รออยู่ มองหาว่าได้เรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้บ้าง ขอบคุณในสิ่งที่มีอยู่ เลิกบ่น เลิกโทษคนอื่น รับผิดชอบชีวิตตัวเอง
...นั่นคือสิ่งที่ตัวละครอย่างผมได้เรียนรู้ จนเข้าสู่ช่วงที่ 3 ของบทหนัง ...ชีวิตคลี่คลายในที่สุด (อ่านรายละเอียดได้ในหนังสือ หนังยางล้างใจ)
2.
มีอยู่ประโยคหนึ่ง ผมเคยได้ยินเมื่อหลายปีก่อนตอนไปเกาหลีใต้ครั้งแรก น่าแปลกที่ยังจำได้ดีจนถึงทุกวันนี้...
"ที่เห็นต้นไม้มีแต่กิ่ง มันไม่ได้ตายนะครับ แค่ผลัดใบ อีกไม่นานใบก็จะเริ่มผลิแล้ว" เสียงไกด์บนรถบัสพูด ขณะที่รถเคลื่อนตัวออกมาจากสนามบินอินชอน เกาหลีใต้ ได้ไม่นาน ผมนั่งคิดบางสิ่งไปเรื่อยเปื่อย นึกไปถึงเรื่องราวแต่หนหลังของตัวผมเอง
ตอนนั้นชีวิตลำบาก คล้ายทุกอย่างสิ้นหวัง รายได้น้อยลงเรื่อย ๆ รายจ่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งที่ผมทำหลายอาชีพพร้อม ๆ กัน แต่มันก็ค่อย ๆ ล่มสลายไปทีละอย่าง ...ผมนึกไม่ออกจริง ๆ ว่าจะไปยังไงต่อ
เสียงไกด์ยังคงพูดต่อไป อธิบายถึงสถานที่ต่าง ๆ สองข้างทางที่รถวิ่งผ่าน ผมเห็นต้นไม้ใบร่วงหล่นหมดต้น
โกร๋นจนเหลือแต่กิ่ง ...เวลานั้นในอดีต ผมคงไม่ต่างกับมันเท่าไร ร่วงหล่นหมดแทบไม่เหลือ
โชคดีที่ผมยังเหลือ "ความหวัง" ลึก ๆ ตอนนั้นผมเชื่อว่าฉันไม่ได้เกิดมาเพื่อพ่ายแพ้ ต้องมีบางอย่างที่ดีกว่านี้รออยู่ ชีวิตผมไม่ได้จบแค่นี้
...แล้วมันก็มีจริง ๆ หลังจากที่ใบร่วงหล่นจนมากพอ หลังจากชีวิตโดนทำร้ายจนมากพอ ใบไม้ใบใหม่ก็งอกงามสวยกว่าเดิม โอกาสครั้งใหม่ ๆ ที่สดใสกว่าเดิมก็เข้ามา ผมผ่านลมหนาวอันโหดร้ายมาได้ในที่สุด ในมุมนี้ ต้นไม้จึงสอนให้ผมเข้าใจ หนาว ใบไม้ผลิ ร้อน ใบไม้ร่วง ล้วนผลัดเปลี่ยนเข้ามาในชีวิต ...ขอเพียงอย่าหมดหวังเท่านั้นเอง
ผมอยากเป็นกำลังใจให้คนที่ชีวิตกำลังหนักหน่วงอยู่กับปัญหาในช่วงนี้ ...ก็เหมือนอย่างที่ไกด์เขาบอกนั่นแหละครับ "ที่เห็นมีแต่กิ่ง มันไม่ได้ตายนะครับ แค่ผลัดใบ อีกไม่นานใบมันก็จะเริ่มผลิแล้ว"
อีกไม่นานครับ อีกไม่นาน...
3.
ผมเคยพูดคุยกับคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตหลาย ๆ คน คนที่สร้างฐานะด้วยตัวเอง พวกเขาทุกคนพูดคล้าย ๆ กัน นั่นคือ จะมีช่วงหนึ่งของชีวิตที่ฟ้าอยากทดสอบเรา จึงส่งอุปสรรคปัญหามาเพียบ ดูสิว่าเราจะเอาอยู่มั้ย ถ้าผ่านไปได้...รุ่งทุกคน
ห้วงเวลายากลำบากแบบนั้น หลายคนยอมปล่อยมือ มีน้อยคนที่อดทนสู้ ไม่สูญเสียซึ่งความหวัง เขาเหล่านั้นจึงผ่านมาได้
วันนี้ใครที่กำลังอยู่ในช่วงที่ 2 ของบทหนังชีวิต เจอกับอุปสรรคขวากหนาม รู้สึกว่าทำไมชีวิตมันยาก (จังวะ) ...อย่าเพิ่งลุกออกจากโรง หนังยังไม่จบ แค่ฉากดี ๆ ฉากซึ้ง ๆ ยังมาไม่ถึง ...แต่มาแน่ ๆ รักแล้วรอหน่อย
ชีวิตคือหนังที่ต้องดูกันยาว ๆ อย่าดูแค่ว่าตอนนี้เป็นทุกข์ แล้วด่วนสรุปว่าหนังชีวิตเรื่องนี้มันเศร้า แท้จริงแล้วชีวิตคือหนังอบอุ่น ซาบซึ้ง จบประทับใจ เพียงแต่ต้องมีแอ็คชั่นกลางเรื่องสักหน่อย จะได้ตื่นเต้น ไม่อย่างนั้นคงเป็นหนังที่น่าเบื่อพิลึก
ชีวิตคนเราคือหนังเรื่องยาว อย่าเพิ่งรีบลุกออกจากโรง ล้มแล้วต้องลุก ลุกแล้วเก็บความเจ็บมาเป็นบทเรียน เรียนรู้ พัฒนาตัวเอง ลงทุนในตัวเองอยู่เสมอ มองหาโอกาสใหม่ ๆ เมื่อวันของเรามาถึง ...หนังชีวิตของเราจะต้องสวยงามอย่างแน่นอน.
Comments