ต้องออกตัวก่อนครับว่า ทั้งหมดเป็นเพียงความคิดเห็นของผม อ่านแล้วคุณอาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ได้ เพราะความเชื่อนั้นเป็นเรื่องของใครของมัน ประสบการณ์หล่อหลอมให้เราเชื่อต่างกัน แต่เท่าที่ผมพบเห็นเป็นอยู่ เท่าที่ความรู้พอจะมี นี่คือ "10 ความเชื่อ...ที่ควรเลิกเชื่อได้แล้ว" โดยผมเน้นไปที่เรื่อง "เรียนและงาน" ครับ
ความเชื่อที่ 1 : ถ้าไม่ได้เรียนสายวิทย์ ชีวิตไร้อนาคต
ช่วงพัฒนาประเทศให้เป็นอุตสาหกรรม ทำให้เรายึดติดอยู่กับไม่กี่อาชีพในฝัน (ของพ่อแม่) จากนั้นจึงยัดเด็กที่มีแววเก่ง แต่ไม่ถนัดสายวิทย์ ให้ต้องทุกข์ทรมานกับการเรียนที่เขาไม่ชอบ ทั้งที่โลกนี้มีวิชาอีกมากมายที่ไม่ใช่สายวิทย์ แต่จบออกไปแล้วประกอบอาชีพที่ทำเงินได้ดี แถมยังสร้างชื่อเสียงได้ไม่แพ้คนจบสายวิทย์ ...คนเป็นพ่อเป็นแม่ จึงต้องเลิกเชื่อแบบเดิมได้แล้ว
ความเชื่อที่ 2 : ถ้าเรียนเลขไม่เก่ง ชีวิตเจ๊งแน่ ๆ
ความเชื่อแบบนี้คล้ายกับข้อแรก ทั้ง ๆ ที่โลกนี้ความเก่งหลายด้าน เก่งดนตรี เก่งกีฬา เก่งคน และอื่น ๆ แต่บางคนวัดความเก่งด้วยคณิตศาสตร์เท่านั้น ถือเป็นการมองความเก่งที่คับแคบเกินไป ที่น่าแปลกคือ...นี่มักเป็นมุมมองจากคนที่ไม่เก่งคณิตศาสตร์ที่คิดว่าคนเก่งคณิตศาสตร์คือคนเก่ง (งงมั้ย?) ทุกคนเป็นคนเก่ง ไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง ขอเพียงอย่าวัดความเก่งของปลาด้วยความสามารถในการปีนต้นไม้ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีปลาตัวไหนที่เก่งเลย (แถมยังอาจน้อยใจจนเลิกว่ายน้ำไปเลยก็ได้)
ความเชื่อที่ 3 : ถ้าสอบมหาวิทยาลัยรัฐไม่ติด ชีวิตหมดกัน
มีคนประสบความสำเร็จมากมายที่จบจากมหาวิทยาลัยเอกชน ปัจจุบันความเชื่อนี้ ผมคิดว่าเจือจางไปพอสมควร (ซึ่งดีมาก) ทั้งด้วยเหตุผลเพราะคุณภาพมหาวิทยาลัยดีขึ้น และเหตุผลว่ามหาวิทยาลัยอาจสำคัญน้อยลงไปเรื่อย ๆ จะมีก็แต่เพียงรุ่นพ่อแม่ที่ศรัทธาในสถาบัน หรือตัวเองจบจากมหาวิทยาลัยมีชื่อของรัฐ จึงยังกดดันให้ลูกต้องติดมหาวิทยาลัยรัฐเท่านั้น ทั้งที่ในชีวิตการทำงานจริง เราแทบไม่ได้สนใจเลยว่าใครจบจากที่ไหน และในอนาคต เราจะสนใจรับคนเข้าทำงานด้วยการดู "ความสามารถพร้อมใช้งาน" ของเขาผู้นั้น
ความเชื่อที่ 4 : ถ้าเรียนเก่ง ชีวิตต้องเจ๋งแน่นอน
เกรดใช้วัดความสามารถเรื่องการท่องจำ ใช้วัดความสามารถในการแก้โจทย์ข้อสอบ แต่ในชีวิตจริง เราไม่ต้องท่องจำ แต่ต้องใช้ความสามารถด้านอื่น ๆ มาช่วย และหลายครั้งที่เราต้องตั้งโจทย์เอง แก้โจทย์เอง ซึ่งก็อย่างที่เราหลายคนรู้ สิ่งที่เราเรียนมา แทบใช้ไม่ได้กับการทำงาน ต้องมาเริ่มฝึกใหม่ ต้องใช้ทักษะมากกว่าทำข้อสอบ เก่งงาน เก่งคน เก่งเงิน เรื่องเหล่านี้มักไม่ได้เรียนในโรงเรียน ...เรียนเก่งจึงไม่ได้รับประกันความสำเร็จ มีบ่อยครั้งเลยที่เราเห็นคนเรียนได้ "เกรดนิยม" ประสบความสำเร็จไม่แพ้คนเรียนได้ "เกียรตินิยม"
ความเชื่อที่ 5 : ไม่ต้องเรียนจบก็ได้ เศรษฐีระดับโลกไม่เห็นต้องเรียนจบ
ความจริงก็คือ เศรษฐีดังกล่าวเป็นเพียงคนน้อยนิดที่เรียนไม่จบแล้วประสบความสำเร็จ พูดให้ชัดกว่านั้นก็คือ การเรียนไม่จบ ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เขากลายเป็นเศรษฐี แต่คือการที่เขาคิดสิ่งที่เปลี่ยนแปลงโลกได้ (ไม่ว่าเขาจะเรียนจบหรือไม่ก็ตาม) ...เพราะฉะนั้นอย่าไปเลียนแบบผิดจุด อย่าเอาไปเป็นข้ออ้างของความขี้เกียจ เราต้องเรียนให้จบ อย่างน้อย ๆ จะได้ไม่ค้างคาใจไปตลอดชีวิต
ความเชื่อที่ 6 : ตั้งใจเรียน เรียนจบแล้วจะได้งานทำ ...เท่านี้ชีวิตนี้ก็สบายแล้ว
คนส่วนใหญ่มารู้ความจริงข้อนี้ก็ตอนที่ "กลับไม่ได้ ไปไม่ถึง" เมื่อเขาพบว่าที่เรียนมาแทบตาย ก็เพื่อมารับเงินเริ่มต้นที่เดือนละหมื่นกว่าบาท ซึ่งยังเป็นอัตราเงินเดือนเดิมเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว สมัยที่ข้าวแกงตอนนั้นจานละ 10 บาท...แต่ตอนนี้เริ่มต้นที่จานละ 40 บาท นั่นแปลว่าชีวิตของเรานั้นต้องมีอะไรมากกว่าตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงาน นั่นคือ ต้องหาลู่ทาง หูไวตาไว มองหาโอกาส
ความเชื่อที่ 7 : หางานบริษัทใหญ่ ๆ มั่นคงทำ ...แล้วชีวิตจากนี้จะมั่นคง
ความจริงก็คือ ความมั่นคงนั้นไม่ได้อยู่ที่บริษัท แต่อยู่ที่ตัวเราว่ามีความสามารถแค่ไหน บริษัทที่วันนี้มั่นคง ไม่ได้แปลว่าวันหน้าจะมั่นคง เราเห็นตัวอย่างกันมาเยอะแล้ว โลกหมุนเร็วกว่ายุคก่อน ๆ ธุรกิจที่มีในวันนี้ อีก 10 ปีข้างหน้าอาจไม่มีแล้ว ความมั่นคงจึงอยู่ที่ตัวเราว่าจะมีความสามารถที่ใช้ได้กับหลากหลายอาชีพแค่ไหน
ความเชื่อที่ 8 : ถ้าอยากประสบความสำเร็จ ต้องเป็นเจ้าของกิจการ
นี่เป็นความเชื่อที่ทำให้หลายคนหมดตัว เพราะกล้าออกไปสร้างอาณาจักรตัวเอง โดยไม่ได้ทดลองก่อน โดยไม่ได้ดูตัวเองก่อน บางคนชอบทำงานตามโจทย์ที่คนอื่นตั้งให้ บางคนชอบออกแบบชีวิตเอง อิสระดี บางคนชอบรับรายได้เท่ากันทุกเดือน สบายใจดี บางคนชอบลุ้นว่าเดือนนี้จะได้มากน้อยเท่าไหร่ ...คนเราไม่เหมือนกัน ไม่ต้องทำตามคนอื่น หาจริตของตัวเองให้เจอ ถ้าไม่เหมาะกับการเป็นเจ้าของกิจการ ก็เป็นลูกน้องไปเถิด...ไม่ได้ผิดอะไร ขอเพียงเป็นคนเก่งในสายอาชีพตัวเอง ก็ประสบความสำเร็จได้ทั้งนั้น จำไว้ว่า...เราไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของธุรกิจ แต่ต้องเป็นเจ้าของชีิวิตตัวเราเอง
ความเชื่อที่ 9 : ถ้าเป็นลูกจ้าง ก็ไม่มีทางรวย
ความจริงก็คือ ใด ๆ ก็ไม่สามารถฟันธงได้ขนาดนั้น เป็นนายจ้างใช่ว่าจะรวยทุกคน เจ๊งก็เยอะ บางกิจการ ได้เงินมาก็เอาไปจ่ายลูกจ้างหมด เงินไหลผ่านเพื่อออกไปอย่างเดียว ในขณะที่ลูกจ้างเงินเดือนแพง ๆ บางคน สบายกว่าเจ้าของ เพราะไม่ต้องมีภาระให้คิด เป็นลูกจ้างก็รวยได้ครับ ถ้าเก่งจริง ผู้บริหารเงินเดือนหลายแสนหรือเป็นล้าน ตำแหน่งแบบนี้ไม่มีประกาศสมัครงานทั่วไป แต่มีอยู่จริง และผลตอบแทนมากพอในระดับที่เรียกว่ารวยได้เลย
ความเชื่อที่ 10 : ไม่เห็นต้องคิดมากเรื่องเกษียณ คนสมัยก่อนเขายังอยู่กันได้
ข้อนี้เป็นความเชื่อที่ค่อนข้างอันตราย เพราะเมื่อพบความจริงตอนอายุมาก เราจะไม่เหลือเวลาให้แก้ไขแล้ว ความจริงนั้นก็คือ คนสมัยก่อนลูกเยอะ และมักมีกิจการเป็นของตัวเอง มีบ้านของตัวเอง อาหารการกินก็ทำเอง แต่คนสมัยนี้ไม่นิยมมีลูก บ้านก็ไม่มีของตัวเอง อย่างมากก็ซื้อคอนโดหนึ่งห้องนอน ผ่อนทั้งชีวิต ไหนจะผ่อนรถ และภาษีสังคมอีกมาก ธุรกิจของที่บ้านก็ไม่มี ป็นลูกจ้าง ทำงานประจำที่เงินเดือนจบลงตอนอายุ 60 ปี (หรือจบลงเร็วกว่านั้น ถ้าบริษัทลดรายจ่าย) ...เพราะฉะนั้นไม่คิดไม่ได้ ไม่วางแผนอาจจะสายไป อย่าเชื่อว่าความจริงที่ใช้ได้ในอดีต มันจะใช้ได้อีกในอนาคต
ทั้งหมดนี้คือ "10 ความเชื่อ...ที่ควรเลิกเชื่อได้แล้ว" ถ้าเห็นด้วยก็ลองนำไปปรับใช้ดูนะครับ.
Comments