Apr 14, 20214 min
เป็นประจำทุกสัปดาห์ ผมจะแนะนำหนัง/ซีรีส์ที่ดูแล้วชอบไว้ในแฟนเพจ boy's thought อย่างไรก็ตาม ด้วยระบบของ facebook ทำให้การสืบค้นโพสต์เก่า ๆ ทำได้ยาก ผมจึงนำมารวบรวมไว้ในเว็บไซต์ เผื่อว่าใครจะลองไปหามาดูบ้าง โดยครั้งนี้จะเป็นหนัง/ซีรีส์ที่ผมดูในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม 2021 ครับ มาเริ่มกันเลย
เหนือความคาดหมาย แนะนำสำหรับคนอยากหาความผ่อนคลายและแรงบันดาลใจ แต่ถ้าใครมาแนวหนังต้องมีสาระหนัก ๆ บทเรียนชีวิตยิ่งใหญ่ บอกผ่านเรื่องนี้ไปเลยครับ เพราะนี่คือหนัง Comedy Romantic (ไม่ใช่ Romantic Comedy)
EUROVISION SONG CONTEST: The Story Of Fire Saga เล่าเรื่องราวของสองเพื่อนรัก (และรักเพื่อน) ทั้งคู่เป็นคนชาวไอซ์แลนด์คนบ้านเดียวกัน โตมาด้วยกัน มีฝันเดียวกันคืออยากเป็นตัวแทนประเทศไปประกวดในการรายการ EUROVISION SONG CONTEST (รายการนี้มีอยู่จริง จัดโดยประเทศยุโรป จัดมาตั้งแต่ปี 1956 ไม่เคยหยุด ปี 2020 เป็นปีแรกที่หยุดเพราะโควิด...ซึ่งหนังเรื่องนี้บังเอิญมาก มาฉายปีนี้พอดี)
เล่าแบบสั้น ๆ แบบไม่สปอยล์ นี่คือหนังของ Loser ที่พยายามตามหาชัยชนะให้ได้ แต่เล่าออกมาในแนวทางตลก เสียดสี เรื่องนี้ไม่ถึงกับตลกตกเก้าอี้ แต่ผมก็หัวเราะมากกว่า 10 ที มุขจิกกัดประเทศต่าง ๆ (โดยเฉพาะอเมริกา...แสบมาก) ที่สำคัญเพลงในหนังเพราะมาก ๆๆๆ โดยเฉพาะเพลงสุดท้ายที่ใช้ในการประกวด โอโห ทรงพลัง (รวมถึงเพลงฮิตในผับที่ปิดท้ายเครดิต ติดหูมาก) ...นอกจากนี้ ยังมีโบนัสแถมอีกคือ สถานที่ถ่ายทำสวยมาก ใครดูผ่านทีวีจอใหญ่ภาพชัด ๆ ถือเป็นบุญตา
บอกตรง ๆ ว่าตอนแรกผมไม่กล้าดู เพราะตัดสินหนังจากปก แถมชื่อ Will Ferrell ก็ทำให้คิดไปไกลว่าหนังจะต๊องแค่ไหนหนอ ...แต่ปรากฏว่าดูจบ พบว่าชอบมาก หนังตามสูตรไม่มีอะไรคาดเดายาก แต่ไม่รู้สิครับ มันมีเสน่ห์ในแบบของมัน ชวนให้ดูครับ
บางช่วงบางตอนอาจอืด ๆ หน่อย แต่อยากให้ดูจนจบ แล้วจะอมยิ้ม ฟังเพลงไปจนจบเครดิต
ดูแล้วอิ่มในความรู้สึก หนังเล่าเรื่องชายคนหนึ่ง เขาเป็นครูพิเศษสอนดนตรีในโรงเรียน ที่มีความฝันอยากเป็นนักดนตรีแจ๊สอาชีพเล่นกลางคืน วันหนึ่งโอกาสนั้นก็มาถึง เขากำลังจะได้เล่นกลางคืน แต่ดันมาประสบอุบัติเหตุเสียก่อน วิญญาณหลุดจากร่าง กำลังเดินทางไปสู่โลกหลังความตาย (Great Beyond) แต่เขายังดึงดันไม่อยากไป ความผิดพลาดจึงนำเขาไปสู่โลกก่อนการเกิด (Great Before) โลกที่เต็มไปด้วยวิญญาณที่จะถูกบรรจุนิสัยใจคอก่อนไปเกิดบนโลก ที่นี่เขาได้พบกับวิญญาณที่ชื่อว่า "22" ผู้ซึ่งอยู่ที่นี่มานานมาก เพราะหาเหตุผลในการไปเกิดบนโลกไม่เจอ
ผมเล่าประมาณนี้ครับ คิดว่าไม่ได้สปอยล์อะไร หนังมีหลากฉากให้เราฉุกคิด โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับ "เป้าหมายอันยิ่งใหญ่" และ "เรื่องเล็ก ๆ ระหว่างทาง" ซึ่งทำออกมาได้ดีมาก เพลงก็เพราะมาก ๆ ถ้าใครดูแล้ว หรือคิดว่าคงไม่ได้ดูแน่ ๆ แต่อยากได้สาระของหนังเรื่องนี้ ผมอยากชวนอ่านข้อเขียนที่ "เอ๋ นิ้วกลม" เขียนไว้ครับ
เขาเขียนได้ดีมีคุณภาพระดับเดียวกับตัวหนัง อ่านได้ ที่นี่
Mockumentary (สารคดีล้อเลียน) เรื่องนี้ "ตลกอย่างร้ายกาจ" ลาทีปี 2020 (Death to 2020) เป็นสารคดีที่ยั่วล้อปีที่หนักหน่วงอย่างปี 2020 ซึ่งเกิดเรื่องราวสำคัญหลายอย่าง ทั้งไฟไหม้ป่าออสเตรเลีย การเคลื่อนไหว Black Lives Matter การเลือกตั้ง ปธน.สหรัฐ และแน่นอน การแพร่ระบาดของโควิด-19 ไปทั่วโลก
ตัวสารคดีประกอบด้วยคลิปเหตุการณ์จริงตัดสลับกับนักแสดงที่มา "สวมบท" เป็นผู้ถูกสัมภาษณ์ในอาชีพต่าง ๆ กัน เช่น ผู้รายงานข่าว นักประวัติศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ นักจิตวิทยา ยูทูบเบอร์ แม่บ้าน คนธรรมดา และควีนอลิซาเบธที่ 2
เหตุการณ์จริงแต่ละอันนั้นไม่ตลกแน่ ๆ ครับ แต่ที่ตลกก็คือบทพูดที่นักแสดงแต่ละคนให้สัมภาษณ์ มันช่างจิกกัดอาชีพนั้น ๆ ได้อย่างแสบสันต์ เช่น นักประวัติศาสตร์ผู้ชอบอ้างอิงผิด แทนที่จะอ้างจากเหตุการณ์ในอดีต ก็ไปอ้างจากหนังที่เคยดู ยูทูบเบอร์ที่พบว่าการทำคลิป reaction ง่าย ๆ กลับมีคนดูเป็นล้าน หรือควีนอลิซาเบธที่ 2 ที่ไม่เคยต้องประสบปัญหาหมดเวลาไปกับการเลือกซีรีส์ใน netflix เพราะให้คนรับใช้เป็นคนเลือกให้
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เป็นตลกเสียดสี บางคนก็อาจไม่ชอบแนวนี้ รวมถึงต้องมีความเข้าใจในเหตุการณ์หรือลักษณะอาชีพนั้น ๆ ด้วย ไม่อย่างนั้นอาจไม่ตลกว่าเขากำลังล้อเลียนเรื่องอะไรอยู่
อารมณ์ประมาณดู standup comedy ของอเมริกา ถ้าชอบประมาณนี้ สารคดีล้อเลียนน่าจะเหมาะกับคุณ
อนิเมชั่นหนังสั้น 12 นาทีที่ทรงพลังมาก "If anything happens I Love you" เล่าเรื่องราวของคู่สามีภรรยาที่สูญเสียลูกสาวไป บรรยากาศในบ้านจึงเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ฟังพล็อตเหมือนหดหู่ แต่ไม่ขนาดนั้นครับ หนังมอบความหวัง และต้องการให้เราปลดปล่อยอดีต ลายเส้นงดงาม เชื่อมโยงแต่ละฉากได้อย่างสร้างสรรค์ ฉากไคลแมกซ์เล่นเอาน้ำตาไหล ฉากคลี่คลายทำเอาน้ำตาคลอ
ดูรอบสองจะเก็บรายละเอียดได้อีก ผมชอบมาก สั้น กระชับ จับใจ
เรื่องนี้ไม่ใช่หนัง แต่คือสารคดีที่เล่าเรื่องอย่างมีชั้นเชิงไม่ต่างกับหนังเรื่องหนึ่ง เล่าสั้น ๆ ก็คือ ลูกสาวมีอาชีพเป็นคนทำหนังสารคดี วันหนึ่งเกิดความคิดอยากถ่ายชีวิตของพ่อตัวเองผู้เริ่มมีอาการอัลไซเมอร์ แต่ไม่ใช่แค่ถือกล้องติดตามชีวิตประจำวัน เธอตกลงกับพ่อว่าเราจะ "ซ้อมตาย" กันนะพ่อ ความหมายก็คือ พ่อจะตายแบบไหนได้บ้าง? เช่น ตกบันไดตายในบ้าน เดินอยู่ข้างนอกของหล่นใส่หัว จากนั้นก็เล่นใหญ่ด้วยการจำลองการตายของพ่อ จ้างนักแสดงแทนในฉากหวาดเสียว มีการจัดฉากปลอม มีเลือดปลอม แล้วถ่ายเหตุการณ์จำลองนั้นออกมา
ฟังดูบ้าบอดีมั้ยครับ แต่ Dick Johnson พ่อของเธอเล่นด้วย (เขาเป็นคนสูงวัยที่อารมณ์ดีมาก หัวเราะตลอด) ผลก็คือ เราก็เลยได้ดูสารคดีแปลก ๆ เรื่องนี้ ที่มีทั้งภาพเหตุการณ์จริง เหตุการณ์จำลอง เหตุการณ์เหนือจริง และนำไปสู่เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม ...และน้ำตา ผมเชื่อว่าเมื่อดูจบ เราจะคิดถึงคนที่เรารัก และอยากใช้เวลากับเขาเหล่านั้นให้มากขึ้น
เพราะไม่มีใครรู้จริง ๆ ว่าเราแต่ละคนเหลือเวลากันอยู่เท่าไร
ทรงพลัง สอนให้เรารู้จักให้อภัยอดีต หนึ่งในหนังที่ผมชอบที่สุดในปี 2021 นี้อย่างแน่นอน แค่เพียง 30 นาทีแรกก็คุ้มที่จะดูแล้ว ฉากลองเทค 22 นาที ไม่ตัดต่อ ยาวเท่าเวลาจริง เราจะได้เห็นช่วงเวลาของการคลอดเด็ก (ที่บ้าน) ตั้งแต่น้ำเดิน ปวดบีบสลับกับคลาย เครียด กังวล โทรเรียก Midwife (พยาบาลผดุงครรภ์หรือหมอตำแย) และขั้นตอนของการลุ้นให้เด็กออกมาดูโลก ...ต้องปรบมือให้กับนักแสดงที่แสดงได้เหมือนมาก (รวมถึงกล้องที่คอยถ่ายตามติดตัวละครได้ทุกซอกมุมของบ้าน)
แต่นั่นคือแค่ 30 นาทีแรกของหนัง ยังมีอีก 1 ชั่วโมงกว่า ๆ ที่เรื่องราวจะเกิดขึ้นต่อจากเหตุการณ์หลังคลอด อารมณ์ของหนังอาจไม่ตื่นเต้นเท่าตอนแรก ทำให้บางเสียงวิจารณ์บอกว่าเบื่อ แต่ส่วนตัวผมกลับชอบมาก มันค่อย ๆ เล่าถึงชีวิตที่เปลี่ยนแปลง ความขัดแย้งในครอบครัว ปมที่มีมาแต่หนหลัง ไปจนถึงการเรียนรู้ที่จะยอมรับและให้อภัย
อีกอย่าง (จริง ๆ หลายอย่าง) ที่ดีมากของหนังเรื่องนี้ก็คือ องค์ประกอบอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นสัญลักษณ์ต่าง ๆ เช่น สะพานข้ามแม่น้ำที่กำลังสร้าง เมล็ดแอปเปิ้ลที่เก็บไว้ ฤดูกาลที่ผันเปลี่ยน ดนตรีประกอบที่เพราะมาก ทั้งหมดนี้ยังไม่นับบทสนทนาที่เข้าใจคิดเข้าใจเขียน รวมถึงเสน่ห์ของดารานำฝ่ายหญิงอย่าง Vanessa Kirby
เธอคือคนที่ผมคิดว่ามีใบหน้าที่เท่และสวยที่สุดคนหนึ่งในวงการนักแสดง
อนิเมชั่นปี 2019 จากฝรั่งเศส ภาพสวย เนื้อเรื่องสนุก มีแง่คิด ไม่ยาวมาก เรื่องราวของหนุ่มส่งพิซซ่าผู้มีความหลังฝังใจในวัยเด็ก วันหนึ่งเขาไปส่งพิซซ่าแล้วเกิดชอบหญิงสาวคนที่สั่งพิซซ่า จึงไปสมัครงานกับลุงของเธอที่เป็นช่างไม้ เพื่อที่เขาจะได้พบหญิงสาวคนนี้
ระหว่างที่เล่าเรื่องหนุ่มคนนี้ หนังยังเล่าอีก 2 เรื่องคู่ขนานไปด้วย นั่นคือ หนึ่ง การเดินทางของ "มือ" ที่ออกตามหาร่างที่หายไป (อันเป็นที่มาของชื่อเรื่อง) และสอง เรื่องราวในอดีตของชายส่งพิซซ่า ความเจ๋งก็คือเรื่องราวทั้งหมดจะมาบรรจบและเฉลยในตอนท้าย นอกจากนี้หนังยังเล่าผ่านมุมมองของ "มือ" เสมือนประหนึ่งว่ามือมีตา เราจึงได้เห็นมุมมองแปลก ๆ แบบที่ไม่เคยมองมาก่อน (มีกี่คนที่จะสังเกตมือตัวเอง?)
ใครอยากอ่านรีวิวแบบละเอียด ๆ (สปอยล์) อ่านได้ ที่นี่
นี่คือซีรีส์ประเภทที่เรียกว่า binge watch คือหยุดดูไม่ได้ ขนาดผมผู้ใจแข็ง ไม่เคยดูเรื่องไหนเกินวันละ 1 อีพี ยังเสร็จเรื่องนี้ ดูไป 3 อีพีรวดใน 1 วัน พล็อตคือนางเอก (Jessica Biel สวย เซ็กซี่ ภรรยา Justin Timberlake แสดงดีมากแบบทุ่มทุนสร้าง แบกทั้งเรื่องไว้) จู่ ๆ วันหนึ่งขณะพักผ่อนอยู่ชายทะเลกับสามีและลูกเล็ก เธอได้ยินเสียงกลุ่มวัยรุ่นเปิดเพลง และจู๋จี๋คลอเคลียกัน ทันใดนั้นเหมือนต้องมนต์ เธอเหมือนสติหลุด เดินตรงไปแล้วเอามีดแทงวัยรุ่นชายไม่ยั้ง จนเสียชีวิตคาที่ ประเด็นก็คือเธอคือฆาตกรแบบไม่ต้องสงสัย แต่คำถามคือ แม้แต่เธอเองก็ตอบไม่ได้ว่าเธอทำแบบนั้นทำไม? เรื่องราวจากนั้นที่เหลือก็คือการสืบสวนค้นลึกเข้าไปทั้งในจิตใจเธอและแวดล้อมอื่น ๆ เพื่อหาเหตุจูงใจให้เจอ
ความเจ๋งของหนังคือค่อย ๆ เล่าย้อนอดีตให้เราปะติดปะต่อเอาเอง แถมยังไม่รู้ด้วยว่าภาพย้อนหลังอันไหนจริงอันไหนหลอก บทหนังแข็งแรง คุมโทนอยู่หมัด พอเฉลยเรื่องทั้งหมดแล้วค่อนข้างสมเหตุสมผล อธิบายชื่อเรื่อง The Sinner ได้ดี มีความจิตวิทยาอยู่สูง ปมพ่อปมแม่ ปมเพศ การสะกดจิต จิตใต้สำนึก การระลึกอดีต มาหมด
หนังสนุกครับ แต่ละอีพีไม่ยาว 40 นาทีกำลังดี ซีซั่นแรกมี 8 ตอน (มีทั้งหมด 3 ซีซั่น แต่ผมแนะนำแค่ซีซั่นแรก)
ซีรี่ส์ 6 ตอนที่มาในแนว "จบหักมุม" เชื่อว่าจะมีทั้งคนที่ถูกใจและไม่ถูกใจในความหักมุมนี้ ผมลองอ่านคอมเมนต์ในเว็บ imdb ก็มีหลากหลายเสียง (แต่ส่วนใหญ่ชอบ) ตอนที่หนังเฉลยความลับ ผมถึงกับร้องออกมาว่า "เฮ้ย...เล่นอย่างนี้เลยรึ" โอเค เอาก็เอาวะ!
เรื่องราวของสาวผิวสี เธอคือคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวลูกหนึ่ง คืนหนึ่งในบาร์เธอพบชายหนุ่มรูปงาม จึงนั่งดื่มกันนิดหน่อย คุยกันถูกคอ แต่ไม่มีอะไรมากกว่าจูบที่เผลอใจ จนวันรุ่งขึ้นเธอพบว่าเขาคือเจ้านายคนใหม่ของเธอที่เพิ่งย้ายเมืองมา...และเขามีภรรยาอยู่แล้ว เดาได้ไม่ยากว่าทั้งคู่เข้าสู่วังวนกิเลส ทำเรื่องที่ไม่ควร จึงต้องเก็บเป็นความลับ ซึ่งความยุ่งยากมันอยู่ตรงที่วันหนึ่ง ภรรยาเจ้านายเดินชนหญิงผิวสีที่มุมตึก ทั้งคู่จึงกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกัน ความลับจึงยิ่งเก็บยากขึ้นเรื่อย ๆ
...เนื้อเรื่องเล่าได้ประมาณนี้ครับ ที่เหลือต้องลองไปดูต่อเอาเอง แต่ขอบอกว่าไม่มีทางเดาถูกเลยว่าเรื่องจะลงเอยอย่างไร แล้วทำไมหนังต้องชื่อเรื่องนี้ อยากรู้คำตอบ ต้องดูจนจบ เอาจริง ๆ เรื่องนี้จะดีกว่านี้มาก ถ้าสร้างเป็นหนังความยาว 2 ชั่วโมง
แต่พอมาเป็นซีรีส์ 5 ชั่วโมง ก็เลยเรื่อย ๆ ไปหน่อย (แต่ไม่แย่ ไม่ถึงกับน่าเบื่อครับ)
อาจเชยไปหน่อยที่เพิ่งได้ดูเรื่องนี้ เพราะเขาฮิตกันมาตั้งนานมากแล้ว แต่ก็อยากชวนทุกคนให้ดูซีรีส์เกาหลีเรื่องนี้จริง ๆ ครับ ดีมากสมคำร่ำลือ มีซีรีส์หลายเรื่องที่ผมดูแล้วรู้สึกตื่นเต้น รู้สึกลุ้น รู้สึกได้พลังใจ แต่นี่คือเรื่องแรกที่ดูแล้ว "รู้สึกรักในตัวละครทุกตัว" เหมือนกับพวกเขามีชีวิตอยู่จริงและเป็นเพื่อนกับเรา ผมดูแล้วหัวเราะทุกตอน น้ำตาไหลทุกตอน และบางฉากหัวเราะจบแล้วซึ้งจนน้ำตาไหลก็มี ขอคารวะทีมผู้สร้างซีรีส์เรื่องนี้จริง ๆ เก่งมาก
หนังเล่าย้อนไปในปี 1988 เล่าถึงเรื่องราวของ 5 ครอบครัวธรรมดา ๆ ที่อยู่ซอยเดียวกัน สนิทกันทั้งรุ่นพ่อแม่และรุ่นลูก มีทั้งครอบครัวที่ยากจนเพราะเคยไปค้ำประกันให้คนอื่น มีทั้งครอบครัวที่ร่ำรวยขึ้นมาเพราะถูกล็อตเตอรี่ มีทั้งครอบครัวที่สูญเสียพ่อหรือแม่ไป ส่วนรุ่นลูก ๆ ก็มีทั้งวัยรุ่นเด็กเรียน เด็กซุกซน เด็กเฮฮา เด็กขี้อาย เรียกว่าคาแรกเตอร์หลากหลาย
ความเจ๋งของซีรีส์เรื่องนี้ก็คือ เรื่องราวแต่ละตอนไม่มีเหตุการณ์อะไรใหญ่โตมโหฬารเลย มันเป็นแค่เรื่องราวธรรมดา ๆ ที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน เช่น ความน้อยใจของลูกคนกลาง การแอบชอบเพื่อนในกลุ่ม ความวุ่นวายในครอบครัวที่มีแต่ผู้ชายเมื่อแม่ต้องไปต่างจังหวัด การสูญเสียญาติผู้ใหญ่ ผัวเมียไม่เข้าใจกัน พ่อแม่ไม่เข้าใจลูก พี่น้องทะเลาะกัน แต่หนังกลับเล่าเรื่องราวธรรมดา ๆ เหล่านี้ออกมาได้ไม่ธรรมดา ทั้งตลก ทั้งซึ้ง ทั้งให้แง่คิด
ข้อดีของการดูหนังดูละคร ก็คือ เรามีโอกาสได้สวมทับเป็นตัวละครนั้น ๆ ได้พอรู้คร่าว ๆ ว่าคนแต่ละแบบคิดอะไรอยู่ รู้สึกอย่างไร Reply 1988 จึงตอบโจทย์เรื่องนี้ได้อย่างดี เพราะมีตัวละครที่แตกต่างกันถึง 15 คนให้เราได้เรียนรู้ ทั้งในมุมของพ่อ แม่ ลูก สามี ภรรยา เพื่อน สะใภ้ แม่ยาย วัยรุ่น คนแก่
ส่วนตัวผมคิดว่าคนที่น่าจะอินกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ น่าจะเป็นคนรุ่นอายุ 40 กลาง ๆ ขึ้นไปจนถึง 50 ต้น ๆ เพราะวัยใกล้เคียงกับกลุ่มวัยรุ่นในเรื่อง เกิดทันยุคเช่าวิดีโอ เล่นรูบิก ฟังวอล์คแมน เขียนจดหมายหาดีเจรายการวิทยุ ดูการแข่งวิ่ง 100 เมตรของคาร์ล ลูอิส และเบน จอห์นสัน ...และยิ่งถ้าคุณเป็นคนต่างจังหวัดที่โตมาในตลาด เพื่อนบ้านรู้จักกัน เข้าบ้านนั้นออกบ้านนี้เหมือนครอบครัวเดียวกัน รับรองว่าเรื่องนี้โดนใจแน่ ๆ เพราะสภาพแวดล้อมในเรื่องคล้ายกับสังคมไทยมาก ๆ (แต่น่าแปลก ผมรู้จักซีรส์เรื่องนี้จากการแนะนำของวัยรุ่นอายุ 20 ต้น ๆ)
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้อาจไม่เหมาะกับนักดูหนังสายซีเรียส สมจริง เนื่องจาก Reply 1988 ตั้งใจทำให้ออกมาในแนว sitcom มีมุกฮา มีเอฟเฟกต์เสียงแพะรับมุก แต่ถ้าใครอยากอารมณ์ดี มีความสุข แนะนำเรื่องนี้เลยครับ ดูพร้อมกันทั้งครอบครัวยิ่งสนุกมาก
แม้ว่าแต่ละตอนจะยาวถึงชั่วโมงกว่า ๆ แต่เราจะรู้สึกว่าผ่านไปเร็วมาก
หนังไต้หวันเรื่องนี้สนุกแบบแปลก ๆ แนวอินดี้ เรื่องราวของชาย 4 คนที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม วันนี้พวกเขาอายุ 40 กว่าแล้ว แต่ชีวิตยังไม่ไปไหนมาไหนเลย ในรูปจากซ้ายไปขวา คนที่หนึ่งฝันอยากเป็นผู้กำกับหนัง แต่ทำได้แค่รับถ่ายทำโฆษณายาเพิ่มพลังท่านชาย คนที่สองเป็นพนักงานบริษัทที่ไม่ได้เลื่อนขั้นเสียที แถมยังต้องเป็นลูกน้องของเพื่อนตัวเองอีก คนที่สามเป็นโรคซึมเศร้า ไม่มีงาน ต้องรับจ้างทั่วไป คนที่สี่ทำอาชีพสร้างบ้านกงเต๊กรถกงเต๊ก และต้องคอยดูแลอาม่าที่แก่ชรา
จุดเปลี่ยนของทั้งสี่คนเกิดขึ้นพร้อมกัน นั่นคือ คนที่ฝันอยากทำหนัง จับพลัดจับผลูกลายเป็นตัวแทนลงเลือกตั้งท้องถิ่น คนที่เป็นพนักงานดันทำผู้หญิงท้อง คนที่เป็นซึมเศร้าได้พบสาวดาวโรงเรียนที่เคยแอบชอบ คนที่ทำกระดาษกงเต๊กต้องหาหญิงแต่งงานเพื่อแก้เคล็ดให้อาม่าที่ป่วยหนัก
โทนหนังเป็นหนังตลก ทะลึ่งทะเล้นนิดหน่อย เหมือนดูหนัง The Hangover ที่ไม่พังขนาดนั้น และในท่ามกลางความตลก หนังก็เสียดสี ประชดประชันสังคมไต้หวันว่าด้วยการดิ้นรนของชนชั้นกลางที่ทำงานเก็บเงินทั้งชีวิตก็ยังไม่มีสิทธิ์ครอบครองห้องเล็ก ๆ สักห้อง ซึ่งตรงกันข้ามกับภาพโฆษณาอสังหาอันสวยหรูในไต้หวัน
ย้ำอีกทีว่าหนังอาจไม่เหมาะกับคนชอบดูหนังสูตรปกติ เพราะไม่มีฉากให้ตื่นเต้นตรงกลาง แถมระหว่างทางยังมีความเหวอ ๆ ให้คนดูเห็นว่านี่มันหนังนะ ไม่ใช่เรื่องจริง (เช่น ใช้นักแสดงคนเดียวกันรับหลายบทบาท ให้คนดูเห็นกองถ่ายทำ) รวมทั้งตอนจบก็จบแบบที่คนดูอาจร้องออกมาว่า อ้าว จบแล้วเหรอ แต่ส่วนตัวผมดูแล้วชอบครับ คิดว่าใครชอบหนังของพี่ต้อม เป็นเอก ก็น่าจะชอบหนังเรื่องนี้ เพราะมีความคล้ายในเรื่องของอารมณ์ตลกร้ายเสียดสี ตัวละครไม่สมบูรณ์แบบ มาเฟีย ความตาย
ความเสื่อมโทรม นักการเมือง และเทพเจ้าแห่งหนังเอวี
ซีรีส์รัสเซียเรื่องนี้สนุกกว่าที่คิดไว้มาก เรื่องราวของโลกอนาคตอันใกล้ เมื่อหุ่นยนต์เข้ามาช่วยงานมนุษย์มากขึ้น (คนชรามีหุ่นยนต์คอยดูแล ตำแหน่งงานบางงานถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ เช่น ผู้ช่วยพยาบาล พนักงานเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์) ซีรีส์เดินเรื่องจากหลายเหตุการณ์ที่พัวพันและดำเนินไปพร้อม ๆ กัน
พล็อตแบบไม่สปอยล์ พระเอกคืออดีตหมอผ่าตัดที่กลายมาเป็นหมอชันสูตรศพ วันนึงเขาเจอศพที่มีเงื่อนงำ แจ้งว่าหัวใจวาย แต่ที่จริงถูกฆ่าโดยหุ่นยนต์สาวสวยที่ทำออกมาได้เหมือนคนมาก ๆ (นางเอกของเรื่อง) ซึ่งเป็นหุ่นยนต์จากจีนที่ลักลอบนำเข้ามาในรัสเซีย จริง ๆ แล้วหุ่นยนต์ตัวนี้บริษัทตั้งใจใช้เป็นต้นแบบเสนอให้รัฐบาลซึ่งกำลังมีโครงการให้ประชาชนเกษียณตอนอายุ 40 ปี แล้วให้หุ่นยนต์ทำงานแทน ปัญหาก็คือหุ่นยนต์สาวตัวนี้หนีไป และไปผูกพันกับลูกสาวพระเอก ความวุ่นวายจึงเกิดขึ้น นี่ยังไม่นับเรื่องของกลุ่มต่อต้านหุ่นยนต์ที่ออกทำลายหุ่นยนต์เพราะไม่ต้องการให้พวกมันมาแย่งงานคน
ส่วนที่ผมชอบเกี่ยวกับซีรีส์รัสเซียเรื่องนี้มีหลายจุดครับ
หนึ่ง งานโปรดักชั่นไม่ขี้เหร่เลย ดีมากด้วยซ้ำ สภาพโลกในอนาคตไม่เว่อร์เกิน มีความเป็นไปได้หลายอย่างว่าจะเกิดจริงในโลกอนาคตอันใกล้ เช่น โดรนที่บินตรวจการณ์ทั่วเมือง การสั่งงานด้วยเสียง มือถือและแท็บเล็ตยังมีอยู่ แต่ดูล้ำสมัยขึ้น (อ่านข้อความที่ข้อมือเราได้ เช่น ยอดโอนเงิน ข้อความ SMS)
สอง พล็อตเรื่องดี ไม่เน้นความไฮเทคจนเกินพอดี พล็อตหลักอาจเป็นเรื่องการหุ่นยนต์และการตามล่า แต่พล็อตรองนั้นว่าด้วยเรื่องของความสัมพันธ์ในครอบครัว (ซึ่งทำได้ดีมาก) อีกอย่างครับ หนังไม่เครียด มีมุกตลกแทรกอยู่บ้าง โดยเฉพาะสิ่งที่เกี่ยวกับคนและหุ่นยนต์ (ฉากหุ่นยนต์สาวขอเสนอตัวเป็นภรรยาแทนภรรยาพระเอกนี่ฮามาก)
สาม นักแสดง มีเสน่ห์ทุกคน นักแสดงเด็กน่ารักมาก นักแสดงที่เล่นเป็นหุ่นยนต์ก็เล่นได้เหมือนมาก เล่นแข็งเป็นหุ่นเลย (นี่คือคำชม)
ตอนนี้ผมเพิ่งดูไป 5 ตอนจาก 16 ตอน ยังสรุปไม่ได้ว่าดีมากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าเอาเท่าที่ดู ถือว่าชอบเลยครับ ไม่ผิดหวัง ดูเพลิน ตอนละ 50 นาทีแป๊บเดียวจบ.
โคตรลุ้น เต็ม 10 ไม่หัก ถ้าเป็นเมื่อก่อน หนังระดับนี้เราต้องดูในโรงเท่านั้น แต่ยุคนี้นั่งดูอยู่กับบ้านสบาย ๆ เรื่องราวเล่ายากว่าเกี่ยวกับอะไร เพราะตัวละครจะโยงใยเกี่ยวพันกันไปหมด (แต่ดูรู้เรื่อง ลุ้นมาก ไม่เบื่อเลย) เอาเป็นว่านี่คือเรื่องราวของผู้คนที่ทำให้เราเห็นความพร่าเลือนของความดี ความเลว คนที่ดูเป็นคนดี กลับเป็นคนเลว คนที่เป็นคนดี กลับจำต้องทำความเลว ภาพสวย ดนตรีทรงพลัง การแสดงเข้มข้น เนื้อเรื่องดราม่ามาก
อย่างไรก็ตาม ต้องเตือนก่อนครับว่าหนังเรท 18+ ในความหมายว่ามีฉากรุนแรง เลือดตกยางออกแบบเห็นกันเต็มตา ใครขวัญอ่อน ไม่แนะนำครับ แต่ถ้าใครชอบหนังแนว ๆ ผู้กำกับ เควนติน ทารันติโน แนวสองพี่น้องโคเอน ที่ตัวละครจะต้องมาข้องเกี่ยวกับความชั่ว อาชญากรรม ความตาย
รับรองว่าหนังเรื่องนี้ คุณจะชอบมากครับ
เกินคาด หนังดีมาก หัวเราะร่า น้ำตาริน ครบเลย นี่คือหนังเรื่องใหม่ของ Judd Apatow ผู้กำกับ The 40-Year-Old Virgin, Knocked Up จริง ๆ เรื่องนี้ต้องเข้าโรงหนัง แต่โควิดระบาด ก็เลยต้องฉายออนไลน์ทั่วโลก เรื่องราวของหนุ่มวัย 24 ปีผู้ไม่เอาไหน เรียนไม่จบไฮสคูล ยังอาศัยอยู่กับแม่ คบเพื่อนพี้กัญชาไปวัน ๆ อาศัยอยู่ในเขตปกครองที่เจริญน้อยที่สุดของ New York อย่าง Staten Island พ่อเขาเป็นนักดับเพลิง เสียชีวิตตั้งแต่เขา 7 ขวบ พ่อคือฮีโร่ของเขา
วันหนึ่งแม่ผู้เป็นหม้ายมาสิบกว่าปี พบรักใหม่กับชายที่เพิ่งหย่าเมีย ถึงขั้นวางแผนแต่งงานกัน พระเอกของเราผู้ไม่ยอมโต เกิดอาการหวงแม่ ไม่อยากให้ใครมาแทนที่พ่อ จึงหาวิธีจัดขวางความรักครั้งนี้
สำหรับผมนี่คือหนังที่เส้นเรื่องสนุกมาก ดูง่าย ตลกร้ายในความวายป่วง แต่ค่อย ๆ พัฒนาไปสู่การเติบโตของตัวละคร จบสวยงามตามสไตล์ coming of age อันเป็นทางถนัดของผู้กำกับคนนี้ ชอบมาก
เพราะเดี๋ยวนี้หาหนังพล็อตง่าย ๆ ของคนธรรมดา ๆ แบบนี้ไม่ค่อยได้แล้วครับ.